หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ / มัฏฐกุณฑลิชาดก

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ๒๒๕. เปรตวัดตึง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Oct 6, 2021
    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทย เดินธุดงค์ไปพบเปรตตนหนึ่งที่วัดตึงเขตเวียงกุนโหลงรัฐฉาน.

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ภูลังกาแดนอาถรรพ์ | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่ตองแห่งวัดถ้ำชัยมงคล

    100 เรื่องเล่า
    Oct 5, 2021
    ภูลังกาแดนอาถรรพ์ ภูลังกา เป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดบึงกาฬ ใกล้กับบึงโขงหลง ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นดินแดนอาถรรพ์ เมืองลับแล เมืองพญานาค บังบด รวมไปถึงเทวดาอารักษ์ต่างๆ ที่มีภพภูมิกันเป็นทิพมากมาย และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานของพระธุดงค์ที่สำคัญๆ อีกหลายรูป รวมไปถึง หลวงปู่วัง และหลวงปู่ตองท่านก็ได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น บนภูลังกา เมื่อครั้งที่ท่านไปเที่ยวธุดงค์ ปฏิบัติสมณะธรรมด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดถูกประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    lptongthanatinno.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่ตอง ฐานทินโณ


    วัดป่าดาลเทพมงคล
    อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
    ◎ ชาติภูมิ
    หลวงปู่ตอง ฐานทินโณ นามเดิมชื่อ ตอง ศรีสาพันธ์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ ณ บ้านน้ำเที่ยง ตำบลบ้านส้ง (ซ่ง) อำเภอคำชะอี (ปัจจุบันคือ จังหวัดมุกดาหาร) จังหวัดนครพนม บิดาชื่อ นายจอม และมารดาชื่อ นางเภา ศรีสาพันธ์ ภายหลังบิดามารดาได้อพยพครอบครัวหนีความแห้งแล้งกันดาร มาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านโนนสวนปอ อยู่ใกล้บึงโขงโหลง เขตจังหวัดหนองคาย (ปัจจุบันคือ จังหวัดบึงกาฬ)

    ◎ อุปสมบท
    นายตอง ศรีสาพันธ์ ได้บรรพชาอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ อายุได้ ๔๗ ปี บวชเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยชราแล้ว บวชที่วัดธรรมทูนุสรณ์ อำเภอบึงโหลง จังหวัดหนองคาย โดยมี พระอาจารย์อุ้ม หรือพระครูจันทเขตพิทักษ์ เจ้าคณะอำเภอเซกา เป็นพระอุปัชฌาย์ อำเภอเซกานี้อยู่ใกล้กับบึงโขงโหลง เหตุที่บวชเป็นพระเมื่อแก่เริ่มผมหงอกแล้ว

    หลวงปู่ตองเล่าว่า..

    “ความจริงท่านได้เลื่อมใสในพระศาสนามาตั้งแต่เป็นเด็ก ไปวิ่งเล่นในวัดแล้ว ครั้นเติบใหญ่ก็ไม่มีวาสนาได้บวช เพราะฐานะยากจน ต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาหาเลี้ยงชีพ แบบปากกัดตีนถีบ อยู่ชั่วนาตาปี ต้องผจญกับโลกธรรมต่างๆ มีทั้งสุขและทุกข์

    ที่ว่าสุขนั้นก็เป็นความสุขอย่างแกนๆ แห้งๆ ไปอย่างนั้นเอง ความจริงแล้วมันมีความทุกข์เป็นตัวยืนโรง ดุจแผ่นดินเป็นที่ยืนเหยียบของคนเรา ถึงแม้จะหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้หรือขึ้นไปอยู่บนบ้านมีความสุข ก็ต้องมีเหตุให้ลงมาเหยียบพื้นดิน ทำมาหากินอยู่บนดินอยู่นั่นเอง แม้กระทั่งตายลง ก็ต้องเอาศพฝังดิน หรือเผาที่กองฟอนบนดิน ชีวิตคนเราทุกคน เกิดมาเป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    สมมติว่าเป็นตัวเราของเรา พากันหลงในสมมติ แข่งกันทำมาหากิน ไม่รู้จักพอ แก่งแย่งเบียดเบียนกัน ข่มเหงรังแกกัน เข่นฆ่ากันด้วยอำนาจ โลภโมโทสัน สนุกสนานมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขอันไม่จีรังยั่งยืน ไม่เที่ยงแท้แน่นอน และแล้วในที่สุดก็ล้วนต้องเน่าเข้าโลง ตายไปเอาอะไรไปด้วยไม่ได้สักอย่าง ร่างกายอันเป็นที่รักยิ่งของตัวเองก็เอาไปด้วยไม่ได้ ตายไปแล้วร่างกายของเราก็ต้องเน่า กลายเป็นอาหารของฝูงหนอนชอนไชกัดกิน น่าขยะแขยง น่าหวาดเสียวยิ่งนัก ใครคนไหนคิดว่าตัวเองรูปสวยรูปงามนั้น แต่พอตายลงไปนอนขึ้นอืดอยู่ในโลง ก็ต้องเน่าเปื่อยเละเทะเป็นปลาร้าปลาเจ่า ยังไงยังงั้น


    ชีวิตคนเราเกิดมาล้วนหลงผิด ดังที่ทางพระศาสนาได้กล่าวไว้ว่า การร้องเพลง ดูไปแล้วเหมือนร้องไห้ การฟ้อนรำเต้นรำดุจเป็นอาการของคนบ้า เสียงหัวเราะเฮฮาอ้าปากเห็นเหงือกเห็นฟัน เหมือนอาการของทารกเด็กอมมือในเบาะ”

    หลวงปู่ตองบวชในฝ่ายมหานิกาย เป็นพระอยู่ในบ้านในเมือง ไม่ค่อยจะถือเคร่งในธรรมวินัยเท่าไรนัก เป็นที่รู้กัน ไม่ว่ากันเพราะเป็นพระฝ่ายศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม ไม่ใช่พระป่าปฏิบัติกรรมฐานถือเคร่งในธุดงค์ ๑๓ ข้อ

    หลวงปู่ตองบวชมาได้ ๓ พรรษา ก็รู้สึกเบื่อหน่ายวัด เพราะพระเณรในวัดไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย พลอยทำให้ท่านประพฤติผิดในพระธรรมวินัยไปด้วย พระเณรในวัดมั่วสุมกันสนุกสนานมากกว่าที่จะปฏิบัติศาสนกิจ

    ท่านระลึกนึกถึงพระธุดงค์ที่ไปปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในป่า แสวงหาความสงัดเงียบ บำเพ็ญเพียรจนได้พบกับความสุขในทางธรรมะ จึงอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง เพื่อหาทางหลีกหนีพระเณรในวัดที่ย่อหย่อนธรรมวินัย ท่านได้เดินธุดงค์ไปที่ภูลังกาอยู่ห่างจากวัดไม่ไกลเท่าไรนัก โดยขึ้นทางด้านบ้านดงบัง อยู่ห่างจากถ้ำชัยมงคลออกไปไกลพอสมควร

    บนภูลังกามีถ้ำมีเงื้อมผาให้เลือกเอาเป็นที่พักบำเพ็ญภาวนา มีลานหินกว้างเหมาะที่จะเดินจงกรม ดินฟ้าอากาศรื่นรมย์ กระแสลมพัดเย็นสบาย กลิ่นดอกไม้ป่าโชยชื่น บรรยากาศสัปปายะวิเวก เหมาะสำหรับปฏิบัติธรรมมาก เมื่อขึ้นมาอยู่บนภูลังกาแล้ว หลวงปู่ตองก็ปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติธุดงค์ ๑๓ เหมือนพระป่าธุดงค์ทุกประการ นั่นคือ “กินน้อย…นอนน้อย”
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    กินน้อย คืออดอาหาร ฉันแต่น้ำลูบท้อง เป็นการทดสอบกำลังใจตัวเอง ว่าจะมีความทรหดอดทนขนาดไหน จะสร้างขันติบารมีได้ไหม กลัวเป็นลมตายเพราะอดข้าวไหม ?

    นอนน้อย คือจะนอนพักผ่อนเอาเฉพาะตอนกลางคืน ไม่นอนมากนอนเพียงคืนละ ๔ ชั่วโมงเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการเดินจงกรม สร้างวิริยะความเพียรและนั่งสมาธิ สงบกาย สงบจิต ให้จิตได้พักผ่อน เสพเสวยปิติ สุขในวิหารธรรม อันปราศจากนิวรณ์ ๕

    เมื่อนั่งสมาธิเสพสุขก็มักจะ ยึดติดเกิดเกียจคร้าน จึงต้องลุกขึ้นเดินจงกรม สร้างวิริยะความเพียร ขับไล่ความเกียจคร้าน สรุปแล้วก็คือมีการเดินจงกรมและนั่งสมาธิสลับกันไปทั้งวันและเกือบทั้งคืน

    ผลของการทดลองอดอาหารปรากฏว่า สามารถอดได้หลายวัน ในวันแรกจะหิวมาก พอเข้าวันที่สองร่างกายจะปรับตัวเองได้ไม่หิว ฉันแต่น้ำ ตัวเบาสบาย ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเลย เกิดความขยันหมั่นเพียรอย่างแปลกประหลาด ไม่อยากหลับนอนอยากจะเจริญภาวนาลูกเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากอำนาจสมาธิ มันมีปิติแรงมาก เป็นปิติในธรรม

    และ ในช่วงนี้แหละที่ทำให้หลวงปู่ตองได้ประสบเข้ากับ “มิติเร้นลับ” กายและจิตของท่านที่เป็น “กายวิเวก จิตวิเวก” ได้เชื่อมโยงเข้าหา “โลกวิญญาณ” หรือโลกอันเป็นทิพย์ คือโลกของภูตผีปีศาจ ยักษ์ มาร นาค ครุฑ คนธรรพ์ หรือบังบดลับแล และเทพเจ้าเหล่าพรหมทั้งหลาย ภาษาของปรจิตวิทยาเขาเรียกว่า กระแสจิตที่เป็นสมาธิอันมั่นคงแน่วแน่ ได้กลายเป็นคลื่นจิตในระดับคลื่นเดียวกันกับกระแสจิตของโลกวิญญาณ สามารถรับและส่ง สื่อความหมายทั้งเสียงและภาพติดต่อกันได้ (คงจะเหมือนการรับส่งโทรทัศน์ละกระมัง)

    มาฟังหลวงปู่ตองเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ ท่านเล่าว่า…
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    “ตอนนั้นในราว ๑ ทุ่ม มืดสนิท อากาศกำลังเย็นสบายๆ อาตมากำลังเดินจงกรมอยู่ที่พลาญหินบนภูลังกา เสียงแมลงกลางคืนจักจั่นและแม่ม่ายลองไน ส่งเสียงร้องก้องกังวานไปทั่วทั้งขุนเขา อาตมาแหงนดูท้องฟ้ามืด มีดวงดาวเกลื่อนกลาดมากมายเต็มท้องฟ้าไปหมด ดาวหลายดวงอยู่ใกล้ๆ ดูราวจะเอื้อมถึง เป็นคืนที่น่าดูมาก เบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก

    ทันใดนั้น…เสียงจักจั่นและแม่ม่ายลองไนหยุดส่งเสียงกะทันหัน เกิดความเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด

    ความมืดได้ทวีมากยิ่งขึ้น เดินไม่เห็นทางเดินจงกรม เอ๊ะ! ทำไมมันมืดอย่างนี้ แหงนมองฟ้าก็ยังเห็นดวงดาวดารดาษส่องแสงระยิบระยับ ไม่มีเมฆฝนปิดบังไว้แต่อย่างใด

    ขณะที่อาตมากำลังยืนงงๆ อยู่นั้น ก็ได้เห็นแม่ชีนุ่งห่มสีขาวเดินเข้ามาหามี ๕ คน นั่งคุกเข่าลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ อาตมารู้สึกแปลกใจที่มีแม่ชีบนภูลังกาในยามค่ำคืน ใจคอไม่ดีเลย เพราะไม่มีพระเณรหรือลูกศิษย์อยู่ด้วย กลัวจะเป็นบาปอาบัติ ถูกตำหนิติเตียน ตอนนั้นลืมคิดไปถนัดว่า ในความมืดเหมือนอยู่ในถ้ำอย่างนั้น ทำไมสามารถมองเห็นแม่ชีทั้ง ๕ คน ได้ถนัดชัดเจนเหมือนในยามกลางวัน ขณะที่อาตมายืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น แม่ชีผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นว่า…

    “หลวงพ่อขึ้นมาปฏิบัติภาวนาบนนี้จะต้องมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ถ้าหลวงพ่อย่อหย่อนในพระวินัยจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ มีพระสงฆ์องค์เณรขึ้นมาอยู่บนนี้หลายรูปแล้วแต่อยู่ไม่ได้”

    ตอนนี้ อาตมาตั้งสติได้แล้วขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ ความรู้สึกบอกว่า ผีแน่ๆ เป็นผีแม่ชี แต่ก็ไม่กลัว เพียงแต่ขนลุกเท่านั้น เพียงแค่นึกรู้สึกขึ้นมาเท่านั้น หัวหน้าแม่ชีก็พูดชี้แจงในทันทีว่า

    “พวกเราไม่ใช่ผี หลวงพ่ออย่าเข้าใจผิด พวกเราเป็นพรหม สมัยเป็นมนุษย์เป็นแม่ชีสำเร็จฌาน พรหมไม่มีเพศหญิง พวกเราเพียงแต่แสดงร่างที่เคยเป็นแม่ชีให้ดูเท่านั้น ภูลังกาเป็นแดนบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ หลวงพ่อมาอยู่ที่นี่จะต้องฉันมังสวิรัติ ขออย่าได้ฉันเนื้อสัตว์”

    อาตมา พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งฟังจะว่าถูกสะกดจิตก็ไม่เชิง นึกอยากจะถามแต่ไม่รู้จะถามอะไร ในที่สุดแม่ชีลึกลับทั้ง ๕ คนนั้นก็ลาจากไป

    การมาและการไปสวยงามมาก ย่อตัวลงคุกเข่ากราบเบญจางคประดิษฐ์ ตัวลอยอยู่เหนือพื้นตอนเข้ามาหา แต่ตอนจะกลับถอยหลังออกไป ๓ ก้าว แล้วจึงนั่งคุกเข่าลงกราบลา ตอนลุกขึ้นยืนคล้ายๆ ลอยตัวขึ้นสง่างามมาก ไม่เหมือนมนุษย์ลุกขึ้น
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    เมื่อแม่ชีทั้งห้าไปแล้ว บรรยากาศอันเงียบงันอาถรรพ์ก็หายไป กลับเป็นปกติเหมือนเดิม จักจั่นเรไรเริ่มส่งเสียง กระแสลมที่หยุดนิ่งก็พัดมาโชยชื่น กลิ่นหอมดอกไม้ป่าพาให้รื่นรมย์ใจ ความมืดมิดคลายไป สามารถมองเห็นทางเดินจงกรมได้เหมือนเดิม


    หลวงปู่ตองเป็นคนเชื่ออะไรยาก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ชอบโต้เถียงเรื่องผีสางเทวดาว่าไม่มีจริง เพราะไม่เคยเห็น ผีมีที่ไหน คนโบราณแต่งเรื่องผีๆ สางๆ หลอกให้คนกลัว เพื่อที่จะได้ปกครองกันง่ายเท่านั้นแหละ


    แต่แล้วในที่สุด หลวงปู่ตองก็มาเจอผีแม่ชีเข้าให้ที่ภูลังกา เป็นการเจอผีตอนเป็นพระกรรมฐานเสียด้วย เหมือนถูกล้างสมองครั้งใหญ่ให้หายโง่ ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว เพราะได้เห็นอย่างจะแจ้งกับตา ได้ยินกับหู แถมยังถูกผีแม่ชียื่นคำขาดให้ฉันมังสวิรัติ ถ้าฉันเนื้อสัตว์ต่อไปจะอยู่ภูลังกาไม่ได้


    ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้หลวงปู่ตองต้องเลิกฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ นับได้ ๑๗ ปีเข้าให้แล้ว การฉันอาหารมังสวิรัติทำให้จิตสงบเร็วขึ้น การพิจารณาธรรมตามหลักไตรลักษณ์ก็ปลอดโปร่ง เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าแต่ก่อน การทดลองอดอาหาร ทรมานตัณหา ความอยาก ก็สามารถอดอาหารได้ถึง ๑ เดือนเต็มๆ ท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า…


    วันนั้นทั้งวัน นั่งเข้าสมาธิเงียบเชียบไม่ ลุกขึ้นเลย จิตมันนิ่ง มันติดใจในรสสมาธิ หมูป่าฝูงใหญ่มาหากินใกล้ๆ แล้วมันก็ทะเลาะกันกัดกันอุตลุด อาตมาก็เห็น แต่ประสาทหูไม่ยอมรับเสียง ไม่ได้ยินเสียง รู้เห็นว่ามันกัดกันเท่านั้น แล้วจิตก็วิ่งเข้าไปอยู่ในภวังค์จ่อไป ประสาทหูมันดับ ไม่ยอมรับเสียง แปลกจริงๆ ดูคล้ายกับว่าจิตไม่ใช่อาตมา จิตเป็นตัวหนึ่งต่างหาก และตัวอาตมาก็เป็นตัวหนึ่งต่างหาก จิตกับตัวเรามันแยกจากกัน เพราะสมาธิมันมากเหลือเกิน


    อาตมานั่งเข้าสมาธิอยู่ทั้งวันเหมือนฤๅษีเข้าฌาน จะลุกขึ้นในตอนใกล้ค่ำ ฉันน้ำแล้วก็เดินจงกรม การอดอาหารทำได้แต่น้ำต้องฉัน จะขาดไม่ได้ อันนี้เป็นกฎตายตัวสำหรับพระธุดงค์ในป่าที่อดอาหารหลายๆ วัน แต่อย่าให้ขาดน้ำเป็นอันขาดเพราะน้ำช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตเอาไว้


    อาตมาบำเพ็ญความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ที่ภูลังกาหลายเดือน ได้รู้ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ลึกลับหลายอย่าง ด้วยอำนาจศีล อำนาจสมาธิ ที่อาตมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถูกต้องพระธรรมวินัย


    หลวงปู่ตองกลับไปจำพรรษาที่วัดเดิม วัดตานเทพมงคลใกล้บึงโขงโหลง ได้ดำริขบคิดจะญัตติเป็นพระธรรมยุต เพื่อจะได้เข้าสู่สายพระกรรมฐานเป็นพระป่าอย่างแท้จริง ครั้นปรึกษากับญาติโยมชาวบ้านก็ไม่มีใครเห็นด้วยเลย ชาวบ้านอยากจะให้อยู่พัฒนาวัดเดิมให้เจริญรุ่งเรือง ถ้าหลวงปู่ตองไปเสียแล้ว พระเณรก็จะสึกกันหมด วัดก็จะร้าง


    ด้วยเหตุนี้ เองทำให้หลวงปู่ตองต้องจำใจอยู่วัดนี้ต่อมาถึง ๕ ปี เป็นหลักใจให้ชาวบ้าน หนักไปทางพิธีกรรมที่พระสงฆ์องค์เจ้าจะต้องทำ เช่น งานบุญต่างๆ งานบวช งานศพ ฯลฯ ตลอดถึงซ่อมแซมปฏิสังขรณ์กุฏิ ศาลาโบสถ์ วิหาร พัฒนาวัดวาอารามเป็นงานหลัก


    เมื่อเห็นว่าได้ทำความเจริญให้วัดนี้ มั่นคงดีแล้ว ท่านจึงได้ญัตติเป็นพระธรรมยุตเข้าสู่สายปฏิบัติกรรมฐานในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ แต่ยังจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมเพราะญาติโยมยังไม่ยอมให้ท่านไปธุดงค์


    อยู่มาคืนวันหนึ่งยังไม่ดึกนัก…ขณะที่หลวงปู่ตองนั่งเข้าสมาธิอยู่ที่กุฏิวัดตานเทพมงคล ริมบึงโขงโหลง อากาศคืนนั้นค่อนข้างเย็นจนท่านรู้สึกหนาว มีลมพัดแรงมาจากบึงโขงโหลง จนต้นไม้ใหญ่น้อยเอนลู่ซู่ซ่า เหมือนพายุฝนจะมา ท่านได้เห็นนิมิตในสมาธิ เป็นแสงสว่างสีขาวพุ่งปราดข้ามบึงโขงโหลง มาตกลงที่กุฏิที่ท่านนั่งอยู่
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (cont.)
    75246751_781157828994998_9133017263660597248_n-Copy.jpg

    หลวงปู่วัง ฐิติสาโร วัดถ้ำชัยมงคล

    นิมิตภาพแสงสว่างนั้นได้แปรเปลี่ยนไป เป็นร่างชายคนหนึ่ง ผมเกรียนคล้ายทิดสึกใหม่ นุ่งขาวห่มขาว กิริยาท่าทางเรียบร้อยสำรวม ลักษณะอุบาสกผู้มีบุญ ได้เดินเข้ามายกมือไหว้และแนะนำตัวเองว่า

    “เราคืออาจารย์วัง อยู่ถ้ำชัยมงคลบนภูลังกา เวลานี้ เราไปเกิดเป็นพรหมอยู่บนพรหมโลก เราอยากจะให้ท่านไปอยู่ถ้ำชัยมงคลภูลังกา”

    กล่าวแล้วก็เดินหายไป หลวงปู่ตองได้พิจารณาแล้วเห็นว่า นิมิตนี้เป็นเพียงจิตสังขารปรุงแต่งธรรมดา ดุจดังคนเรานอนหลับแล้วฝันไป ไม่ควรยึดถือเป็นเรื่องจริงจัง


    -1024x577.jpg
    วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ

    2-1024x577.jpg
    วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
    ครั้นต่อมาอีกหลายวัน ก็เกิดนิมิตภาพนี้อีกขณะนั่งสมาธิ จิตสงบ วิญญาณอาจารย์วังซึ่งเป็นพรหมมาชวนให้ไปอยู่ถ้ำชัยมงคลเป็นครั้งที่สอง แต่หลวงปู่ตองก็ไม่สนใจ เพราะถือว่านิมิตต่างๆ เป็นอุปสรรคในการเจริญภาวนานิมิต เป็นเพียงภาพล่อ ภาพหลอก ภาพลวง

    ต่อมาอีกประมาณ ๑๕ วัน ก็เกิดนิมิตในสมาธิอีก เป็นภาพอาจารย์วังนุ่งขาวห่มขาวมาหาเป็นครั้งที่ ๓ พอมาถึงก็ถามว่า
    “ท่านปั้นพระพุทธรูปได้ไหม ?”
    หลวงปู่ตองตอบในสมาธิว่า..
    “เคยปั้นมาแล้ว แต่ไม่เก่ง”
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    58373700_2392332500789663_7214351146566025216_o-1024x577.jpg
    ถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ


    นิมิตภาพอาจารย์วังกล่าวต่อไปว่า..


    “เราจะให้ท่านขึ้นไปอยู่ถ้ำชัยมงคลบนภูลังกา ไปปั้นพระพุทธรูปหลายองค์ มีเจดีย์ธาตุอยู่บนยอดภูลังกา ใส่อัฐิธาตุของเรา แต่เวลานี้เจดีย์ธาตุนั้นได้ถูกคนร้ายใจบาปทุบทิ้งป่นปี้ ค้นหาสิ่งของเงินทอง เราต้องการให้ท่านไปช่วยสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ด้วย”


    นิมิตภาพของอาจารย์วังบอกกล่าวแล้วก็หายไปอีก คราวนี้หลวงปู่ตองชักเอะใจสงสัย เพราะนิมิตอาจารย์วังมาหาอย่างมีความมุ่งหมายขึงขังจริงจัง เป็นการออกคำสั่งให้ทำเลยทีเดียว บ่งบอกถึงอำนาจบังคับบัญชาดูน่ากลัว หากขัดขืนเห็นจะเกิดเรื่องเป็นแน่


    .jpg
    หลวงปู่ตอง ฐานทินโน วัดป่าดาลเทพมงคล

    หลวงปู่ตองจึงได้ออกสืบถามชาวบ้านว่า พระอาจารย์วังภูลังกา มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ก็ได้ความว่า พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร เป็นพระธรรมกรรมฐานผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ อยู่ถ้ำชัยมงคลบนยอดภูลังกาในสมัยปี พ.ศ. ๒๔๘๐ – ๒๔๙๖


    ท่านเป็นศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และต่อมาได้พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ จึงได้เป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์ดังๆ ในสมัยนั้น เช่น พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร , พระอาจารย์สีโห เขมโก , พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นต้น ชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า “ครูบาวัง


    ศิษย์สำคัญๆ ของครูบาวัง หรือ พระอาจารย์วัง มีหลายรูป อาทิ พระอาจารย์วัน อุตตโม แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ภูผาเหล็ก จังหวัดสกลนคร , พระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) อดีตเจ้าคณะอำเภอศรีสงคราม (ธรรมยุต) นครพนม และ หลวงตาเลิศ ชินวังโส วัดอรัญญานี อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ เป็นต้น


    พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) เป็นพระเพียงรูปเดียวที่รอดตาย เมื่อคราวเรือล่มในบึงโขงโหลง มีพระกรรมฐานภูลังกาจมน้ำถึงแก่มรณภาพ ๓ รูป คือพระอาจารย์ปุ่น พระอาจารย์ทอง และพระอาจารย์ทองดี เรือล่มคราวนั้นเป็นเรื่องโด่งดังมาก ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ใกล้กึ่งพุทธกาลชาวบ้านเล่าลือกันว่า พญาอือลือผีเงือก (พญานาค) บึงโขงโหลง เป็นผู้เอาชีวิตพระกรรมฐานภูลังกา


    พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ท่านเชี่ยวชาญเป็นพิเศษทางกสิณอภิญญา เป็นพระธุดงค์กรรมฐานมีฤทธิ์มาก หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ครั้งนั้นยังไม่มรณภาพ เคยเล่าให้ศรัทธาญาติโยมคณะ “ธรรมทานทัวร์” ฟังเมื่อหลายปีมาแล้วว่า


    คราวหนึ่งพระเณรและเถรชีที่ขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนภูลังกา ได้รับความลำบากกันมาก เพราะขัดสนอาหารบิณฑบาต และยังเจ็บไข้ได้ป่วย อาพาธด้วยโรคภัยไข้ป่าบ้าง แพ้อากาศบ้าง พระอาจารย์วังได้พาลงจากภูลังกามาส่งให้พ้นป่าใหญ่ ปรากฏว่ามีฝูงเสือโคร่งหลายตัวได้ติดตามมาด้วย ทำให้พระเณรเถรและชี (พ่อขาวแม่ขาว) หวาดกลัวกันมาก พระอาจารย์วังได้บอกให้พระภิกษุสามเณรตาเถรและแม่ชี พากันรีบเดินไปก่อน ส่วนองค์ท่านนั่งลงขวางทางเสือไว้ ฝูงเสือเห็นท่านนั่งก็พากันนั่งลงบ้าง


    พระอาจารย์วังทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ถ่วงเวลาไว้เพื่อให้คณะพระเณรเถรชีเดินทางพ้นป่าใหญ่ ระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร ไปถึงหมู่บ้านที่ปลอดภัย ต่อจากนั้นพระอาจารย์วังจึงได้เดินทางกลับภูลังกา โดยมีฝูงเสือติดตามต้อยๆ ไป เหมือนสุนัขที่จงรักภักดีต่อเจ้าของ


    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย สรุปว่าทำไมฝูงเสือถึงได้จงรักภักดีพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร


    คำตอบก็คือ พระธุดงค์กรรมฐานอย่างพระอาจารย์วังนั้น มีอำนาจจิตแรงกล้า และโดยเฉพาะมีเมตตามาก จะเข้าสมาธิระดับลึกมากอยู่ทุกวันคืน แล้วแผ่เมตตาไปทั่วทุกสารทิศ อันมีทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทั่วทุกโลกธาตุภพภูมิอันไม่มีขอบเขตเรียกว่า “แผ่เมตตาเจโตวิมุตติ”


    การแผ่เมตตาเจโตวิมุตตินั้นคือ ต้องเข้าสมาธิให้ได้ระดับจตุตถฌาน เพื่อให้บรรลุภาวะดวงจิตหลุดพ้นจากกิเลสชั่วคราว เรียกว่า เจโตวิมุตติ ประเภทยังไม่หลุดพ้นอย่างเด็ดขาด เป็นแต่เพียงหลุดพ้นจากกิเลส ด้วยอำนาจพลังจิตโดยเฉพาะด้วยกำลังฌาน ๔ คือกิเลสทั้งหมดได้ถูกอำนาจอัปปนาสมาธิกดข่มไว้ หรือทับไว้ดุจก้อนหินใหญ่มหึมาทับหญ้าเอาไว้ฉะนั้น ตลอดเวลาที่อยู่ในฌาน ๔ นั้นเรียกว่า “วิขัมภนะวิมุตติ”


    การแผ่เมตตาเจโตวิมุตติมีอานุภาพมาก เป็นกระแสคลื่นจิตตานุภาพอันชุ่มชื่นเยือกเย็น ภูตผีปีศาจยักษ์มาร เทวดา พรหม คนธรรพ์ นาคและมนุษย์ตลอดถึงสิงสาราสัตว์ดุร้ายทั้งหลาย เมื่อได้กระทบสัมผัสกระแสเมตตาเจโตวิมุตติแล้ว จะบังเกิดความรู้สึกชุ่มชื่น เย็นกายเย็นใจ อิ่มเอิบเบิกบาน ปีติปราโมทย์ ดุจดังได้เสวยความสุขอันเป็นทิพย์สุดวิเศษ จะมีไมตรีจิตมิตรภาพ รักใคร่เคารพนับถือผู้ทรงศีลที่แผ่เมตตาเจโตวิมุตตินั้น ไม่กล้าคิดทำร้ายแต่ประการใดเลย


    พระอาจารย์วังได้มรณภาพไปนานแล้ว ตั้งแต่ปี พศ. ๒๔๙๖ เมื่อนับถึงปี พศ. ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นปีที่หลวงปู่ตองได้นิมิตพระอาจารย์วังนั้น ก็เป็นเวลายาวนานถึง ๓๘ ปี ทำให้หลวงปู่ตองข้องใจว่า นับตั้งแต่พระอาจารย์วังมรณภาพไป เหตุใดถึงไม่แสวงหาผู้มีวาสนาบารมีให้มาบูรณปฏิสังขรณ์ถ้ำชัยมงคล-ภูลังกา ทำไมปล่อยให้เวลาผ่านมาถึง ๓๘ ปี จึงมาบอกให้ท่านไปบูรณปฏิสังขรณ์ ทั้งๆ ที่ท่านก็เป็นเพียงพระบ้านนอกธรรมดา ไม่มีบุญบารมีอะไรเลย แต่ด้วยความยำเกรงพระอาจารย์วังที่เป็นวิญญาณมาสั่งให้ไปอยู่ถ้ำชัยมงคล ภูลังกา หลวงปู่ตองจึงจำใจเดินทางขึ้นไปภูลังกา ทำการสำรวจถ้ำชัยมงคล ก็ได้เห็นสภาพความเป็นจริงว่า เจดีย์ธาตุบนยอดเขาภูลังกาที่บรรจุอัฐิธาตุของพระอาจารย์วังนั้น ได้ถูกพวกคนร้ายใจบาปทุบทำลายพังทลายลงมา เหลืออยู่เพียงฐานเจดีย์เท่านั้น อัฐิธาตุของพระอาจารย์วังตกอยู่กระจัดกระจายในบริเวณนั้น ทำให้หลวงปู่ตองเกิดความรู้สึกสลดสังเวชยิ่งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2021
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    -1024x577.jpg
    เจดีย์หลวงปู่วัง วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
    “ครั้นเมื่อไปดูที่ถ้ำชัยมงคลก็พบกับสภาพถ้ำที่เสื่อมโทรมเต็มไปด้วยหยากไย่ ใยแมงมุม พระพุทธรูปหลายองค์ที่พระอาจารย์วังปั้นไว้ ได้ถูกคนใจร้ายใจบาปจับกลิ้งไว้กับพื้นก็มี ที่ถูกขุดเจาะทำลายก็มี คนใจร้ายคงค้นหาเหล้กไหลในองค์พระพุทธรูป ยิ่งทำให้หลวงปู่ตองเศร้าสลดใจ
    โอ หนอ…คนเราทำไมมันถึงได้ใจร้ายต่ำทรามถึงเพียงนี้ กล้าทำลายปูชนียวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนา ไม่เกรงกลัวบาปกรรม นรกมหาอเวจี หลวงปู่ตองได้บอกตัวเองว่า
    “ถ้ำชัยมงคลก็ดี ภูลังกาก็ดีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ จิตสัมผัสทำให้เราขนพองสยองเกล้าอยู่เป็นระยะ ที่นี่เป็นอาศรมสถานปฏิบัติธรรมของครูบาอาจารย์มาตั้งแต่อดีต ไม่สมควรจะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเศร้าหมอง เราจะต้องบูรณปฏิสังขรณ์ที่นี่ให้สำเร็จจงได้”

    58373475_2392331207456459_1783443182063714304_o-576x1024.jpg
    เจดีย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ

    วันนั้นหลวงปู่ตองจึงพักค้างคืนในถ้ำชัยมงคล พอเข้าที่นั่งทำสมาธิภาวนาได้ไม่นาน วิญญาณพระอาจารย์วังก็มาหาอีก ลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น นุ่งขาวห่มขาวเหมือนเดิม วิญญาณพระอาจารย์วังพูดว่า อัฐิธาตุของเราที่ตกอยู่กระจัดกระจายนั้น เมื่อท่านได้เก็บรวบรวมไว้แล้ว ก็ให้เอาบรรจุใส่ไว้ในเจดีย์อย่างเดิม ถ้าท่านสงสัยอะไรให้ไปถามพระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ที่วัดศรีวิชัย บ้านศรีวิชัย อำเภอศรีสงคราม พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) สมัยเป็นสามเณรเคยอยู่กับเราที่ถ้ำชัยมงคลนี้
    นิมิตภาพพระอาจารย์วังบอกกล่าวแล้วก็เดินออกจากถ้ำหายไป
    หลวงปู่ตองได้เดินทางไปหา พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ในวันต่อมา เล่าเรื่องทั้งหมดที่ตนประสบให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ได้ยินแล้วก็พิศวงงงงันไม่อยากจะเชื่อ ตนเองเป็นศิษย์ก้นกุฏิมาตั้งแต่เป็นสามเณรน้อยจนกระทั่งเป็นพระ อายุพรรษาแก่เท่าถึงวันนี้ยังไม่เคยเห็นวิญญาณพระอาจารย์วังมาหาเลย จึงถามว่า “ท่านตองจำรูปร่างหน้าตาพระอาจารย์วังที่เห็นในสมาธิได้แน่รึ ?”
    หลวงปู่ตองตอบว่า.. “ผมจำได้ติดตา”
    พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องหยิบเอารูปถ่ายพระอาจารย์วังมาส่งให้หลวงปู่ตองดู ถามว่า “เหมือนรูปนี้ไหม ?”

    -จันทูปโม.jpg
    พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) วัดศรีวิชัย อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
    หลวงปู่ตองได้เห็นรูปถ่ายของพระอาจารย์วังแล้วก็ตะลึง ขนพองสยองเกล้า ถึงกับรีบวางรูปถ่ายลง แล้วกราบรูปถ่ายด้วยความเคารพเลื่อมใส เพราะวิญญาณพระอาจารย์วังที่มาหานั้นเป็นคนๆ เดียวกันกับรูปถ่ายนี้ จึงได้กราบเรียนให้พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ทราบตามนั้น พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ได้ฟังแล้วก็อัศจรรย์ใจขนลุกไปทั้งตัว เหลียวซ้ายแลขวา เข้าใจไปว่าวิญญาณพระอาจารย์วังจะต้องติดตามหลวงปู่ตองมา ท่านพระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม) ได้ร้องว่า “ผมขนลุกไปหมดแล้ว ท่านพระอาจารย์วังอาจจะมาอยู่ในห้องนี้แล้วก็ได้”
    ด้วยเหตุดังกล่าว นี้เองทำให้หลวงปู่ตองเกิดความเลื่อมใส พระอาจารย์วัง มีความเชื่ออย่างปราศจากข้อสงสัยว่า วิญญาณพระอาจารย์วังมีจริง เป็นเทพเจ้าชั้นสูงอยู่พรหมโลก มาวนเวียนอยู่ถ้ำชัยมงคลภูลังกา ด้วยความห่วงใย ดังนั้นหลวงปู่ตองจึงตัดสินใจมาอยู่ถ้ำชัยมงคลด้วยความเต็มใจ เคารพเลื่อมใสในองค์อาจารย์วังอย่างสุดจิตสุดใจทีเดียว
    เมื่อหลวงปู่ตองมาอยู่ที่ถ้ำชัยมงคลภูลังกาในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่านก็ได้ทำทางขึ้นไปตามมีตามเกิด พอให้ปีนป่ายโหนต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นไปได้ช่วงไหนที่สูงชันอันตรายหวาดเสียว ก็ทำบันไดไม้พาดไว้อย่างง่ายๆ พอให้ไต่ขึ้นไปได้ ใครที่ร่างกายอ่อนแอขึ้นไม่ได้เลย ขนาดคนหนุ่มๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้นไปก็หอบแอกๆ ไม่อยากขึ้นไปอีกเป็นครั้งที่สอง เรียกว่าเข็ดเหมือนตอนแมว แต่หลวงปู่ตองสามารถขึ้นไปได้สบายมาก ทั้งๆ ที่มีอายุได้ ๖๐ ปีเศษแล้ว ร่างกายยังแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม ท่านแบกถุงทรายถุงปูนครั้งละ ๒ – ๓ ถุง ขึ้นไปวันละหลายเที่ยว สร้างเจดีย์สูง ๑๓ เมตร สำหรับบรรจุอัฐิธาตุของพระอาจารย์วังและรูปปั้นพระพุทธรูปหลายองค์
    หลวงปู่ตอง เปิดเผยวิธีการแบกถุงปูนถุงทรายขึ้นภูลังกาว่า ใช้วิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกแบบอานาปานสตินั่นเอง เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วร่างกายจะเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น สามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไว แบกถุงปูนซีเมนต์และถุงทรายขึ้นไปได้สบายๆ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    วิธีทำตัวเบาของหลวงปู่ตองนี้ฟังแล้วง่ายแต่ทำจริงๆ ยาก เพราะการทำจิตให้เป็นสมาธินั้นไม่ใช่ทำกันได้ทุกคน ต้องเป็นคนมีบุพวาสนาบารมีสนับสนุนถึงจะทำสำเร็จ วิธีทำตัวเบาของหลวงปู่ตองนี้คล้ายกับวิชา “ลูกเบา” ของบรรดาพระกรรมฐานสมัยโบราณคือต้องบริกรรมภาวนาจนจิตนิ่งแน่วเป็นสมาธิ เกิดอาการตัวเบาลอยตัวได้สามารถที่จะลอยตัวขึ้นไปบนต้นกล้วย แล้วเดินเล่นนอนเล่นบนก้านใบตองกล้วยได้ โดยที่ก้านกล้วยไม่หักแต่อย่างใด

    เมื่อขึ้นไปอยู่ถ้ำชัยมงคลภูลังกาแล้ว หลวงปู่ตองก็ลงมือบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ปั้นพระพุทธรูปและซ่อมแซมพระพุทธรูป ซ่อมแซมถ้ำและเพิงผาผุพัง สร้างพระเจดีย์ขึ้นมาใหม่บนยอดเขา เทปูนทำสะพานขนาดเล็กข้ามหุบร่องน้ำลึกแคบให้เชื่อมกับถ้ำ ทำความสะอาดบริเวณเขตสงฆ์

    ความขยันขันแข็งเอาจริงเอาจังกับงาน บูรณปฏิสังขรณ์นี้คงจะ “เข้าตา” สิ่งลึกลับหรือเทพพรหมหรือผีสางเทวดาทั้งหลายที่เฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในวันหนึ่งต่อมาก็ส่ง “ทูต” มาหา เป็นทูตพิเศษที่ไม่ธรรมดา ทูตที่มาหานี้เป็น “งูจงอาง” ขนาดยักษ์สองผัวเมีย ลำตัวใหญ่ขนาดต้นเทียนพรรษาขนาดใหญ่ หรือขนาดโคนขาคนผู้ใหญ่ มีความยาวมากใครเห็นแล้วจะต้องขนหัวลุกตกใจกลัวเป็นลมหรือช็อกตาย

    งูจงอางยักษ์ทั้งสองนี้มาหาหลวงปู่ตองในถ้ำชัยมงคล ขณะที่ท่านทำวัตรสวดมนต์ มันผงกหัวแสดงความเคารพแล้วก็แผ่พังพานยืดลำตัวขึ้น สูงเป็นวาแล้วผงกหัวทำความเคารพอีก จากนั้นก็ขดตัวที่มุมถ้ำไม่ยอมไปไหนมองดูท่านเฉยๆ ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรอีก ท่านรู้ด้วยจิตว่าไม่ใช่งูจงอางธรรมดาเพราะมันใหญ่โตผิดงูจงอางที่เคยเห็น

    แต่เป็น “พญานาค” แปลงร่างมาเป็นงูจงอางยักษ์เพื่อทำหน้าที่อารักขาถ้ำชัยมงคลและเจดีย์ใหญ่ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ !

    หลวงปู่ตองเล่าให้ท่านเจ้าคุณราชเมธากรฟังว่า…

    “เขามาแปลก! มาอยู่กับผมในถ้ำ เมื่อถึงเวลาหากินก็พากันเลื้อยออกไปหากินข้างนอกแล้วกลับมานอนในถ้ำ บางวันก็เข้าไปนอนในรูโพรงถ้ำ วันหนึ่งมีญาติโยมขึ้นมาหาผมมีเด็กหนุ่มรุ่นคะนองมาด้วย ๒ – ๓ คน พวกเด็กวัยคะนองวิ่งเล่นที่พลาญหิน แล้วเอาก้อนหินขว้างเล่นลงไปทางหน้าผาบ้าง ขว้างลงไปในหุบเหวป่าไม้บ้างเป็นที่สนุกสนาน ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้ว่าภูลังกาเป็นแดนอาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์ทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาโกรธ”
    หลวงปู่ตองเว้นระยะแล้วเล่าต่อว่า..

    “พญางูจงอางยักษ์สองผัวเมีย ได้เลื้อยปราดออกไปจากถ้ำชัยมงคลส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว เลื้อยพล่านไปทั่วพลาญหินบนยอดภูลังกา แผ่พังพานคุกคาม ผมเห็นท่าไม่ดีกลัวมันจะไล่ฉกกัดพวกเด็กๆ จึงได้ร้องห้ามไว้ไม่ให้ทำอันตราย เพราะเด็กวัยคะนองไม่รู้ประสีประสาอะไร

    อัศจรรย์มาก! งูจงอางยักษ์ทั้งสองเชื่อฟังผม ยอมเลื้อยกลับเข้าถ้ำแสดงถึงมันฟังภาษารู้เรื่อง”
    ผู้เขียนได้ นมัสการถามบ้างว่า..
    “พวกเด็กขว้างก้อนหินเล่นมีความผิดอย่างไร?”
    หลวงปู่ตองตอบว่า..

    “ตามหน้าผาก็ดี ตามซอกเขาหรือโตรกผาก็ดี ตามหมู่ไม้ใหญ่น้อยในหุบเหวข้างล่างก็ดี เป็นบ้านเป็นเมืองของชาวบังบดลับแลหรือคนธรรพ์ เป็นบ้านเป็นเมืองของพวกยักษ์หรือรากษสหรืออสูร เป็นบ้านเป็นเมืองของภูติผีปีศาจเปรตอสุรกาย บ้านเมืองหรือภพภูมิของพวกนี้มันสลับซับซ้อน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันซ้อนกันอยู่เหมือนเอากระดาษซับกระดาษซึมมาสักแผ่น หนาๆ แล้วเราเอาน้ำสีต่างๆ หยอดลงไปบนกระดาษซึม สีต่างๆ เหล่านั้นก็จะอยู่รวมกันได้ในกระดาษซึมนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ภูมิภพหรือแดนอยู่อาศัยของพวกวิญญาณก็อยู่กันได้อย่างสลับซับซ้อนเช่นนั้น แหละ เพียงแต่เรามองไม่เห็น แต่ถ้าพวกเขาอยากให้เราเห็น เขาก็จะทำให้เราเห็นได้ เมื่อพวกเด็กขว้างก้อนหินลงไปก็ไปถูกบ้านเรือนของชาวบังบดลับแล เขาก็ไม่พอใจ”

    “หลวงปู่เคยเข้าไปในเมืองลับแลมั้ย?” ถามอีก
    หลวงปู่ตอบว่า..
    “เคยเห็นแต่บ้านเมืองของชาวบังบดลับแลอยู่เสมอ เพราะชาวลับแลเขาเปิดให้เห็น แต่อาตมาไม่ได้เข้าไป”
    “เหตุใดหลวงปู่ไม่เข้าไป”

    “ถ้าเป็นบุคคลอื่นอาจจะอยากเข้าไปเมืองลับแล แต่สำหรับตัวอาตมาแล้วไม่อยากเข้าไปเลย ความรู้สึกลึกๆ ในใจได้เตือนว่า ถ้าตัวเรายังมีภูมิจิตภูมิธรรมน้อยอยู่ หากเข้าไปในเมืองลับแลแล้วอาจจะได้รับภัยอันตรายอย่างลึกลับ”
    “ภัยอันตรายอย่างลึกลับหมายถึงอะไร”
    “พวกลับแลหรือบังบดมาหาอาตมาอยู่บ่อยๆ มักจะมาตอนค่ำมืดแล้ว ถ้าลับแลนุ่งขาวห่มขาว เป็นพวกบวชแล้ว ถือศีล ๑๐ ข้อ เรียกตัวเองว่าดาบสหรือมุนี เป็นนักพรตคล้ายฤาษี
    ถ้าแต่งตัวธรรมดาเหมือนชาวไร่ชาวนา แสดงว่าเป็นพวกลับแลที่ยังทำมาหากินเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด

    ถ้ารูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำหรือผิวดำ เป็นพวกพญานาคแปลงตัวมาเป็นมนุษย์ ภพภูมิของพญานาคและภพภูมิของชาวลับแลเขาไปมาหาสู่กันได้

    ถ้าชาวลับแลผิวขาว เป็นอีกเผ่าหนึ่งที่มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่มีผิวขาว เช่น ภูไท ลาวโซ่ง ชาติจีน ชาติญวน เป็นต้น โลกของชาวลับแลก็คือโลกของวิญญาณหรือโอปาติกะ เมื่อเราเป็นพระประพฤติพรหมจรรย์เข้าไปในโลกของชาวลับแล โอกาสที่จะถูกทดสอบหรือลองของเรื่องพรหมจรรย์มีมาก เป็นต้นว่า เอาลาภสักการะเพชรนิลจินดา สร้อยแหวนเงินทองสมบัติโบราณมาถวาย เอาสาวงามมาคอยปรนนิบัติวัฏฐาก หรือให้แม่ชีสาวๆ สวยๆ มาอยู่ใกล้ชิด เอาสุรายาฝิ่นมาถวาย อะไรๆ เหล่านี้ ถ้าพระเผลอไผลขาดสติไปแตะต้องเข้าโดยไม่รู้ว่าเป็นเหยื่อล่อ ก็จะถูกชาวลับแลลงโทษหมดโอกาสได้กลับออกมา”
    หลวงปู่ตองเล่าต่อไปอีกว่า..

    “พวกบังบดลับแลเคารพนับถือพระภิกษุสงฆ์ ชอบฟังธรรมะ เชื่อในธรรมะ ชอบประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลกินในธรรมะ ไม่อยากได้ทรัพย์สินเงินทอง อยากได้แต่ธรรมะ อยากสำเร็จธรรมะ อยากไปเกิดในภพภูมิสูงๆ ขึ้นไป

    ชาวลับแลพากันขบขันที่มนุษย์ทั้งหลาย อยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากรวย อยากสวย อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ อยากใหญ่ อยากดัง อยากมีอายุยืนยาวไม่อยากแก่เฒ่า ชาวลับแลบอกว่าชาวโลกมนุษย์มีกิเลสตัณหาความโลภมากยิ่งนัก หลงใหลยึดถือในสิ่งสมมติ เมื่อตายไปก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้”
    ผู้เขียนได้เรียนถามอีกว่า…

    “กระผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากปากของปราชญ์ผู้รู้บางท่าน ได้ให้อรรถาธิบายเรื่องลับแลว่า ชาวลับแลหรือบังบดก็ดี พวกคนธรรพ์ในป่าในถ้ำก็ดี เป็นเทวดาชั้นต่ำสุดอาศัยอยู่บนพื้นดินปะปนกับมนุษย์เรา มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณหยาบเหมือนมนุษย์ ทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนมนุษย์ แต่ถือศีลธรรมเคร่งครัดมาก มีหิริโอตัปปะละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป…วิบากกรรมแต่หนหลังทำให้มาเกิด เป็นพวกลับแลหรือคนธรรพ์ชั้นต่ำ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าชั้นสูง คือ ท้าวธตรฐมหาราช จอมคนธรรพ์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาโลกมนุษย์อยู่ที่ทิศตะวันออก ไม่ทราบว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ”
    หลวงปู่ตองตอบว่า..
    “บังบดลับแลเป็นเรื่องลึกลับ อาตมารู้น้อยตอบไม่ได้”

    “ขอถามเรื่องพญานาคอีก”
    “พญานาคมีจริง เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิเศษ”
    “หลวงปู่เคยเห็นหรือ?”
    “อ้าว งูจงอางยักษ์สองผัวเมียในถ้ำชัยมงคลนั่นแหละ คือพญานาค”
    “พญางูจงอางยักษ์ทั้งสอง บอกอย่างนั้นหรือ?”
    “เปล่า”
    ”แล้วหลวงปู่รู้ได้อย่างไร?”
    “พวกบังบดลับแลเป็นคนบอกว่า งูจงอางยักษ์สองผัวเมียคู่นั้นเป็นพญานาคอยู่ภูลังกามานานหลายหมื่นปีแล้ว เป็นสหายของพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ผู้ล่วงลับมรณภาพไปแล้ว ดวงวิญาณของพระอาจารย์วังได้สั่งให้พญานาคทั้งสองมารักษาถ้ำชัยมงคลและรักษา อาตมา”
    “นอกจากพญานาคทั้งสองที่แปลงร่างเป็นงูจงอางมา หลวงปู่เคยเห็นพญานาคตัวอื่นๆ มั้ย?”

    “เห็นบ่อยไป เป็นงูสีแปลกๆ ตัวใหญ่ก็มีตัวเล็กก็มี มากันเป็นสิบเป็นร้อย เลื้อยเข้าออกถ้ำทุกวัน ที่เลื้อยเล่นเพ่นพ่านตามพลาญหินบนยอดภูลังกาก็มีเยอะ พอค่ำมืดลงพวกเขาก็แปลงเป็นมนุษย์มาสนทนาธรรมด้วย จึงได้รู้ว่าเป็นพญานาค”
    “จะทำอย่างไรจึงจะได้พบเห็นพญานาคและชาวลับแลคนธรรพ์ได้โดยไม่ได้รับอันตราย?” ถามอีก

    หลวงปู่ตองนิ่งอึ้งชั่วขณะ ก่อนตอบว่า..

    “เอ! เรื่องนี้มันไม่ง่ายนะ เป็นเรื่องยากมาก มันมีเหตุปัจจัยสนับสนุนหลายอย่างจึงจะได้ประสบพบเห็น เป็นต้นว่า เคยมีความเกี่ยวข้องผูกพันกันมาในชาติปางก่อน อาจจะเคยเป็นญาติสนิทมิตรสหายกัน อาจจะเคยเป็นบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์กันมาในปางก่อน หรืออาจเคยเป็นคู่ครองกัน อาจจะเคยตักบาตรร่วมขันทำบุญร่วมกัน เคยสนับสนุนค้ำชูกันให้เจริญรุ่งเรือง หรืออาจจะมีภาระหน้าที่ผูกพันกันบางอย่าง หรือเป็นศัตรูคู่แค้นจึงจะได้พบกัน”
    “อย่างพระธุดงค์ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัย?”
    “ถูกแล้ว! พระธุดงค์ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยแต่ชาติปางก่อนมาสนับสนุน จึงจะสามารถพบเห็นพญานาคและชาวลับแลได้ ถึงแม้จะเป็นพระธุดงค์ผู้แก่กล้าในฌานสมาบัติ แต่ถ้าไม่มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกันมาก่อนก็ไม่มีทางจะได้พบเห็นพญานาคและชาวลับแล สำหรับคนมีบุพกรรมเกี่ยวข้องผูกพันกันนั้น แม้จะเป็นชาวไร่ชาวนาธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ก็สามารถพบกับพญานาคและชาวลับแลได้ มีตัวอย่างหลายรายแต่ไม่อยากพูดถึง”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2021
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    -ภูลังกา-ภูลังกา-1024x683.jpg

    ผาสบเป็ด (ผาใจขาด) วัดถ้ำชัยมงคล ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ

    หลวงปู่ตอง วัดถ้ำชัยมงคลภูลังกา มีเรื่องผูกพันกับพญานาคและชาวลับแลอีกมากมายเป็นเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ ท่านบอกว่าเล่าให้ใครฟังไม่ได้ เพราะเป็นความลับของฟ้าดิน ขืนเปิดเผยไปจะเกิดอาถรรพ์ฟ้าดินลงโทษเอาได้ง่ายๆ ชนิดคาดไม่ถึง


    อย่างเมื่อไม่นานมานี้ ฟ้าคะนองเกิดพายุถล่มภูลังกา ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่หม้อแปลงไฟฟ้าห่างจากหลวงปู่ตองประมาณสองวา ท่านสลบไปหลายชั่วโมง จีวรถูกไฟไหม้หมดแต่ไม่ตาย กลับฟื้นคืนชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์เหลือเชื่อ!


    หลังจากทีหลวงปู่ตอง ท่านได้บูรณะเจดีิย์หลวงปู่วัง ฐิติสาโร หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล สำเร็จแล้วท่านได้สร้างศาลาการเปรียญที่วัดถ้ำชัยมงคล ขึ้นอีก ๑ หลัง สิ้นใช้งบประมาณเกือบ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พอหลวงปู่สร้างศาลาและสิ่งอื่นๆ ได้หมดแล้ว ด้วยหลวงปู่ตอง ท่านเป็นพระที่ไม่ยึดติด จึงคิดจะออกธุดงค์วัตรต่อไป


    ซึ่งขณะนั้นท่านก็ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสุวรรณ จิตธัมโม หลังจากนั้นท่านจึงได้คืนสมณศักดิ์และหลวงปู่ก็ได้กราบลาพระอุปัชฌาย์ออกเดินธุดงค์ต่อไปจังหวัดกาฬสินธุิ์ และได้สร้างวัดขึ้นอีกหนึ่งวัด พอวัดแห่งนั้นเจริญขึ้นแล้ว หลวงปู่ตองก็ให้พระลูกวัดรับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสแทน


    จากนั้นหลวงปู่ตอง ก็เดินธุดงค์กลับบ้านเกิดเดิมของท่าน พอมาถึงหลวงปู่ก็ได้มาสร้างวัดขึ้นไปที่ภูน้อย บ้านหนองเอี่ยนดง ต.น้ำเที่ยง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร บนภูน้อยนั้น เป็นภูที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ น้ำ ไฟก็ไม่มี หลวงปู่ตอง ฐานทินโณ ท่านเป็นพระที่ไม่ยึดติดจึงอยู่ได้ น้ำไม่มีก็ใช้วิธีหาบขึ้นโดยใช้ถังน้ำใส่น้ำหาบ ใส่ไม้ลำใหญ่หาบขึ้นทุกๆ วันช่วงเช้าที่ลงมาบิณฑบาต ขณะที่อยู่ภูน้อย หลวงปู่ตอง ท่านก็ได้สร้างศาลาหลังใหญ่ขึ้น ๒ หลัง และกุฏิอีกกว่า ๑๐ หลัง จนทำให้สำนักสงฆ์ภูน้อยเจริญรุ่งเรือง มีผู้คนรู้จักมาก

    เมื่อหลวงปู่ตอง ฐานทินโณ มีอายุมากขึ้น คือเข้าสู่วัยชรา คณะชาวบ้านที่ศรัทธาในองค์หลวงปู่ จึงกราบนิมนต์ท่านให้ลงจากเขามาอยู่ ณ ป่าช้าที่หมู่บ้านหนองเอี่ยนดง เพื่อความสะดวก แต่หลวงปู่ก็ไม่รับปากที่จะลงมา พอชาวบ้านรบเร้าหลายๆ ครั้งมากจนหลวงปู่ใจอ่อน ท่านจึงได้ลงมาอยู่จำพรรษาที่ป่าช้าหนองคอง เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๕๙ คณะศรัทธาได้สร้างกุฏิหลังเล็กๆ ให้หลวงปู่ ได้พอพักจำพรรษาอยู่ ๑ หลัง จนออกพรรษา หลวงปู่จึงตัดสินใจอยู่ ณ ป่าช้าหนองคอง ด้วยที่หลวงปู่ตอง ฐานทินโณ อยู่ ณ สถานที่แห่งใด สถานที่แห่งนั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง
    ต่อมาชาวบ้านจึงได้ร่วมกันสร้างศาลา สร้างกุฏิ สร้างห้องน้ำให้วัดแห่งนี้เจริญขึ้นมาเรื่อยๆ บนเนื้อที่ ๘๑ ไร่ อยู่ติดท้ายหมู่บ้านหนองเอี่ยนดง ต.น้ำเที่ยง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    51513443_322314095068538_9103373536822558720_n.jpg
    หลวงปู่ตอง ฐานทินโน วัดป่าดาลเทพมงคล

    ภายหลัง ลวงปู่ตอง ฐานทินโณ ท่านได้กลับคืนสู่ วัดป่าดาลเทพมงคล บ้านโนนสวนปอ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ

    หลวงปู่ตอง ฐานทินโณ ท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบ ณ วัดป่าดาลเทพมงคล เวลา ๑๐.๓๕ น. วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ สิริอายุได้ ๘๘ ปี

    91231810_146613376861499_7232336098779725824_n.jpg
    สรีระ หลวงปู่ตอง ฐานทินโน วัดป่าดาลเทพมงคล

    51168215_322314128401868_8958966230841032704_n.jpg
    เกสา หลวงปู่ตอง ฐานทินโน วัดป่าดาลเทพมงคล

    -หลวงปู่ตอง-1024x773.jpg
    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่ตอง (พระครูสุวรรณ จิตธัมโม) วัดถ้ำชัยมงคลภูลังกา ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
    ..................................................
    ขอบคุณที่มา :- https://www.108prageji.com/หลวงปู่ตอง-ฐานทินโณ/
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ๒๒๖. วิบากรรมเณรเฮือง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Oct 13, 2021
    พระภิกษุหนุ่มจากเมืองไทย ช่วยชี้ทางแก้วิบากกรรมให้เจ้าส่างเฮือง ที่วัดนาเติง เขตเวียงเงิน.


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2022
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    lpboonta.jpg
    ประวัติหลวงปู่บุญตา วิสุทธสีโล วัดคลองเกตุ
    โดย Nattapon Vetchayangkoon เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม 2014 เวลา 20:48 น.
    พระครูสิริธัชสมาจารย์(หลวงปู่บุญตา วิสุทธสีโล) วัดคลองเกตุ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี
    มีนามเดิมว่า บุญตา นามสกุล พาซื่อ โยมบิดาชื่อ นายอุด โยมมารดาชื่อ นางทุม พาซื่อ
    เกิดที่บ้านโนนสะคาม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2449
    ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4 ท่าน คือ
    1. นายอ้วน พาซื่อ
    2. นายรุณ พาซื่อ
    3. นางลา พาซื่อ
    4. หลวงปู่บุญตา วิสุทธสีโล
    เมื่ออายุได้ 3 ขวบ บิดาย้ายถิ่นฐานไปอยู่บ้านพระเสาร์ อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร
    ชีวิตในวัยเยาว์อายุ 12 ปี ได้ศึกษาภาษาไทย ณ วัดพระเสาร์ จนถึงชั้น ป. 3 จึงออกมาช่วยบิดามารดาทำนา
    จนกระทั่งอายุ 16 ปี บิดามารดาพาย้ายถิ่นฐานไปอยู่บ้านจาน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
    และได้ย้ายไปอยู่บ้านหนองมะนาว ต.ขอนแก่น อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์
    จนอายุได้ 23 ปี มารดาก็เสียชีวิต ท่านจึงได้บวชหน้าไฟเพื่อทดแทนคุณมารดา
    ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2472 ที่วัดหนองม้า ต.หนองฮะ อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์
    โดยมีพระอธิการกลัด เจ้าอาวาสวัดสะเม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอาจารย์กา วัดสะเม็ด เป็นพระกรรมวาจา
    พระอธิการเผือ วัดบ้านเครือ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ท่านได้รับฉายาว่า "วิสุทธสีโล" แปลว่า "ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์"
    เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์กลัด พระอุปัชฌาย์ในวัดสะเม็ด
    ได้เริ่มเรียนการปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างจริงจังกับผู้เป็นอุปัชฌาย์
    พร้อมกับเรียนพระปริยัติธรรมควบคู่ไปด้วยและก็สอบได้นักธรรมชั้นตรีในพรรษาแรก
    เมื่อจิตใจพึงพอใจอยู่กับความสงบประกอบกับหลวงปู่ท่านได้สมาธิแล้ว
    ก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายที่จะต้องอยู่กับสิ่งแวดล้อมแห่งผู้คน
    จึงขออนุญาตพระอาจารย์กลัดแสวงหาครูบาอาจารย์สอนวิชา
    โดยไปจำพรรษาที่วัดกลาง จังหวัดบุรีรัมย์
    เพราะทราบว่ามีครูบาอาจารย์ดีในวัดหลายองค์
    ท่านจึงได้ศึกษาวิชาต่างๆ หลายแขนงทั้งทางด้านปฏิบัติธรรม ด้านคาถาอาคม
    ไสยศาสตร์ แต่เนื่องจากวิชาอาคมต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นภาษาขอมท่านจึงคิดที่หาที่เรียนภาษาขอม
    จึงเดินทางไปยังวัดเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
    เรียนภาษาบาลีและอักขระขอม ใช้เวลาเรียนอยู่ 4 ปีเต็มจนแตกฉานในภาษาบาลีและอักขระขอม
    จบแล้วจึงไปจำพรรษาที่วัดพระเสาร์เป็นเวลา 3 พรรษา
    และท่านก็ปรารถนาจะกราบนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งไม่เคยไปมาก่อน
    ท่านจึงออกเดินทางธุดงค์ไปยังวัดพระธาตุพนม ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น
    ทำการสำรวจจิตใจด้วยตนเอง ทบทวนด้วยเรื่องของสังขารอยู่ในป่าทึบ
    จนกระทั่งถึงวัดพระธาตุพนม และอยู่ที่วัดพระธาตุพนม 7 วัน
    จากนั้นออกธุดงค์ต่อไปทางจังหวัดเชียงใหม่ไปพักอยู่วัดอุโมงค์
    เป็นวัดที่พระชาวศรีลังกามาสอนธรรมะ
    ท่านอยู่ที่นั่น 15 วัน ก็ธุดงค์ต่อไปทั่วภาคเหนือและภาคอิสาน
    ปี พ.ศ. 2474 หลวงปู่เดินธุดงค์อยู่เชียงใหม่
    ท่านทราบว่าเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) แสดงธรรมอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง
    ท่านดีใจมากที่จะได้พบพระสุปฏิปันโน
    และท่านก็ได้รับความเมตตาชี้แนะแนวทางธรรม
    หลังจากนั้นท่านจึงธุดงค์ไปวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
    ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเสาร์ กันตสีโล
    ซึ่งหลวงพ่อเสาร์ ท่านเชี่ยวชาญเรื่องปัฏฐวีกสิณ เตโชกสิณ อาโปกสิณ และวาโยกสิณ
    หลวงพ่อเสาร์ท่านได้เมตตาสอนปัฏฐวีกสิณให้
    โดยนำดินมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่าหม้อใหญ่และขนาดขันน้ำ โดยมองให้เห็นอยู่อย่างนั้น
    แล้วลืมตามาเพ่งใหม่คือ การเพ่งดินเป็นอารมณ์ และในการฝึกนั้นจะมีพระมหาปิ่น ปญฺญาธโร
    และพระอาจารย์สิงห์ ขันตคยาโม เป็นผู้เข้มงวดในการฝึก
    จนกระทั่งหลวงปู่บุญตา เข้าถึงปฐวีกสิณอย่างรวดเร็วกว่าศิษย์ท่านอื่นๆ
    จากนั้นท่านจึงกราบลาหลวงพ่อเสาร์ และพระมหาปิ่น ธุดงค์มาทางจังหวัดลพบุรี
    และมาพักอยู่วัดพรหมมาสตร์ มาอยู่กับหลวงพ่อพุทธวรญาณได้ศึกษาธรรมะอยู่ 1 พรรษา
    จากนั้นจึงเดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ ไปอยู่วัดมหาธาตุ
    พร้อมกับปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานกับพระเทพสิทธิมุนี ภาวนายุบหนอ พองหนอ
    เพ่งสติให้เป็นมหาสติปัฏฐาน ปฏิบัติได้ 2 เดือนเศษก็มีความชำนาญและช่ำชองอย่างรวดเร็ว
    ออกจากวัดมหาธาตุ ย้อนกลับไปยังจังหวัดนครสวรรค์
    ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม พุทธสโร แห่งวัดหนองโพ ได้ศึกษาวิชากับหลวงพ่อเดิมหลายอย่าง
    เช่น การสร้างมีดหมอเทพศาสตราตามตำรับเดิมแท้ ฯลฯ
    และท่านได้ไปเรียนวิชากับหลวงพ่อทองวัดเขากบ ซึ่งท่านมีชื่อเสียงในการเล่นแร่แปรธาตุ
    จากนั้นได้เข้าศึกษาพระธรรมที่วัดศรีษะเมือง หรือวัดนครสวรรค์ ซึ่งมีชื่อเสียงทางปริยัติธรรม
    หลวงปู่บุญตาจึงได้ศึกษาจนสำเร็จนักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก
    ท่านอยู่ที่ในนครสวรรค์ 4 พรรษา จากนั้นก็กลับมาลพบุรี มาจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองบัว ต.คลองเกตุ
    อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส ในปี 2483
    ท่านอยู่ที่วัดหนองบัว 3 พรรษา จากนั้นจึงกลับไปเยี่ยมภูมิลำเนาเกิด โดยไปจำพรรษาที่วัดพระเสาร์
    เป็นเวลา 3 พรรษา จากนั้นก็กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองบัวอีกครั้งหนึ่ง
    ในการอยู่วัดหนองบัวท่านก็ได้โน้มน้าวจิตใจของญาติโยมเข้าวัดปฏิบัติธรรม
    ควบคู่ไปกลับการสอนปริยัติธรรมให้กับพระภิกษุสามเณร
    รวมทั้งเป็นที่พึ่งของญาติโยมในภาวะเจ็บไข้ท่านก็ใช้พลังอำนาจทางจิตทำการรักษา
    รวมทั้งผู้ที่ถูกคุณไสยมนต์ดำ หลวงปู่สยบมาแล้วทั้งนั้น
    ชื่อเสียงด้านการสอนธรรมะและปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ ทำให้ผู้ใหญ่ระดับสูงในอำเภอโคกสำโรง
    อาราธนานิมนต์ไปยังอารามแห่งใหม่
    ท่านอยู่วัดหนองบัวครั้งหลัง 3 พรรษา ปี 2492 ก็ได้รับคำสั่งให้ไปปกครองวัดสิงห์คูยาง
    ซึ่งอยู่ใจกลางชุมชนตลาดอำเภอโคกสำโรง ท่านพัฒนาวัดสิงห์คูยาง จนก้าวหน้า
    และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระครูสังฆรักษ์บุญตา พระฐานานุกรมของพระกิตติญาณมุนี
    (พระพุทธวรญาณ) เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี รวมระยะเวลาปกครองวัดสิงห์คูยาง 23 พรรษา
    ขณะที่ท่านพำนักอยู่วัดสิงห์คูยางนั้นท่านเดินทางสู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
    เพื่อขอรับการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรมธีราชมุนี (โชดกญาณสิทธิ ป.ธ.9)
    ในรุ่นที่ 3 และได้รับการยกย่องจากพระเดชพระคุณ พระพิมลปัญญาว่า เป็นพระวิปัสสนาจารย์ชั้นเยี่ยม
    เพราะเข้าสมาธิได้เป็นที่ 1 สามารถทำให้ร่างกายไม่ไหวติงนานนับ ถึง 1 วัน 1 คืน
    ถึงขั้นมีผู้ทดสอบยกร่างของท่านจากที่เดิมไปที่แห่งใหม่ โดยที่ท่านั่งของท่านยังคงเดิมไม่ไหวติง
    เพราะหลวงปู่ท่านเข้าถึงสภาวะจิตขั้นสูงแล้ว
    วัดคลองเกตุ ต.คลองเกตุ อ.โคกสำโรง ถึงยุคเสื่อมโทรมร้างเจ้าอาวาส
    ชาวบ้านตำบลคลองเกตุได้พร้อมใจกันไปขอร้องท่านผู้ใหญ่ในอำเภอ
    ขออาราธนานิมนต์ไปปกครองวัดคลองเกตุไปเป็นหลักของชาวบ้านคลองเกตุ
    เพราะความศรัทธาที่มีต่อท่านตั้งแต่ครั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองบัว ซึ่งอยู่ในตำบลเดียวกัน
    คณะสงฆ์ผู้ใหญ่ได้สอบถามหลวงปู่ หลวงปู่ก็ตอบตกลงเพราะว่าวัดสิงห์คูยางเจริญแล้ว
    และอยู่กลางอำเภอ และเห็นว่าวัดคลองเกตุเงียบสงบ
    เหมาะแก่การเจริญภาวนา ปฏิบัติธรรม ท่านจึงตอบตกลงทันที
    วันที่ 25 มกราคม 2514 ขบวนชาวบ้านคลองเกตุ ได้จัดขบวนไปรับหลวงปู่ถึงวัดสิงห์คูยาง
    เพื่อไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคลองเกตุ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
    หลวงปู่ท่านก็ได้ไปบริหารจัดการและพัฒนาจนเจริญก้าวหน้าจนเป็นวัดคลองเกตุในปัจจุบัน
    หลวงปู่บุญตาท่านมีความช่ำชองในการเพ่งกสิณไฟเป็นพิเศษ
    ถึงขนาดที่กำหนดจิตเสกพระให้แก่ผู้ศรัทธาเพียงชั่วอึดใจ
    พระที่ท่านเสกให้ถึงกับร้อนจัดขึ้นทันที
    และที่น่าอัศจรรย์คือมีผู้ห้อยพระของท่านถูกฟ้าผ่า แต่รอดตายได้อย่างปาฏิหารย์
    วัตถุมงคลของท่านทุกรุ่น ประสบการณ์เพียบ....เรื่องแคล้วคลาด ปลอดภัย โชคลาภ
    มีพูดคุยปากต่อปากของลูกศิษย์ของท่านไม่ขาดปากตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
    และวัตถุมงคลของท่านไม่มีวางให้เห็นตามแผงพระทั่วไป เพราะลูกศิษย์เห็นจะเก็บไว้หมด
    นานๆ ทีจึงจะเห็นวัตถุมงคลของท่านออกมาให้เห็นตามตลาดพระบ้าง
    กสิณไฟเหนือฟ้า วาจาสิทธิ์
    ลูกศิษย์ของหลวงพ่อบุญตา ทั้งใกล้และไกลได้ประจักษ์ถึงคุณวิเศษของท่านคือ วาจาสิทธิ์
    ถ้อยคำที่ท่านพูดออกไปนั้นมักเป็นความจริงเสมอ จนได้รับการยกย่องว่า หลวงปู่บุญตาวาจาสิทธิ์
    หลวงปู่ท่านเป็นพระกัมมัฏฐานที่มีจิตใจสะอาดมองโลกในงแง่ดีเสมอ
    กายวาจาและจิตใจของท่านบริสุทธิ์จริงไม่มีการพลั้งเผลอขาดสติ
    จิตใจแน่วแน่อยู่ในพุทธคุณ วาจาที่กล่าวออกมาจึงบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์
    เป็นที่รู้กันไม่ว่าหลวงปู่จะพูดอะไรก็เป็นไปอย่างนั้น จะทักใครให้อยู่ดีมีความสุข
    คนนั้นก็จะเป็นไปตามที่หลวงปู่พูด คนเกเรข่มเหงไม่ว่าผู้เฒ่าผู้เฒ่าผู้แก่ระรานเขาไปทั่ว
    เมื่อหลวงปู่ทราบก็จะสั่งสอนให้กลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่
    ให้ปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงามก่อนจะสาย หากคนนั้นรับปากแล้วไม่กระทำตามหรือดูหมิ่น
    ในคำสอนของหลวงปู่ก็จะต้องได้รับความวิบัติจนถึงหายนะไปในที่สุดดังที่ประจักษ์กันมาแล้ว
    คำพูดของท่านที่ลูกศิษย์ได้ยินเสมอคือ ช่างเขาเถอะ
    หลวงปู่ท่านเป็นผู้ที่ให้เสมอ ผู้ใดขออะไร ท่านก็มีแต่ให้ ท่านมักพูดน้อย
    วาจาไพเราะ ผิวพรรณผ่องใสงดงาม ผู้ที่เข้ามากราบท่าน พบท่านแล้วจะเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
    สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านก็คือ การเพิ่มพลังกำลังใจให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
    หรือที่ภาษาของชาวบ้านเรียกว่า ต่ออายุหรือต่อชะตา
    ชาวบ้านใกล้ไกลจะมาให้ท่านสงเคราะห์อยู่อย่างสม่ำเสมอ คนป่วยที่ว่าไม่น่ารอด
    ไปหาหมอไหนๆ ก็ส่ายหน้า แต่ถ้ามากราบนิมนต์ให้ท่านทำหรือแนะนำให้ไปปฏิบัติ
    ก็จะหายจากอาการที่เป็นอยู่ และจะดีขึ้นในวันต่อมา เป็นความมหัศจรรย์จริงๆ
    หลวงปู่ท่านจะอบรมสั่งสอนให้ศิษย์เป็นคนดีหนีทุกข์ยากได้สำเร็จ
    ดั่งคำพูดของท่านว่า "อาตมาเป็นพระภิกษุสงฆ์ บวชแล้วได้อาศัยอาหารของชาวบ้าน
    เลี้ยงตัวตนจึงนับด้วยพระคุณ ดุจทองคำอันมีค่า
    แต่ยังด้อยกว่าข้าวเพียงหนึ่งคำที่ฉันผ่านลำคอ
    ดังนั้น แม้เวลาใดขณะใดญาติโยมมาหา อาตมาก็ต้องต้อนรับขับสู้ด้วยจิตที่มีเมตตายินดี"
    หลวงปู่ท่านได้เมตตาอบรมความคิดคติธรรมคำพรประสิทธิ์แด่ลูกศิษย์ ดังนี้
    1. ให้ทำความสงบทางจิตใจ
    2. ให้ขยันหมั่นเพียร
    3. อย่าเกียจคร้านให้สร้างเนื้อสร้างตัวโดยเร็ว
    4. ให้ทำตัวเป็นคนดี จะได้หลุดพ้นความยากจนและความทุกข์
    5. มีให้เกินใช้ มีมากใช้น้อย
    6. ได้ให้เกินเสีย คือทำงานมีเงินควรเก็บไว้แต่เวลาใช้ก็อย่าใช้มากให้ประหยัด
    7. คบเพื่อนที่ดี เพื่อนที่แนะนำไปในทางที่ดี
    8. สวดมนต์ภาวนา สร้างกุศลเพื่อหลุดพ้นภพชาติ
    ขอให้ญาติโยมทุกคนหมั่นเจริญภาวนาหาเหตุผลแยกแยะความดีความชั่ว
    ดูให้ออกมองให้เห็นและหมั่นทำความดีรักษาศีล เจริญธรรม
    ชีวิตที่อับเฉาของญาติโยมก็จะดีขึ้นมีความสุขขึ้น
    เพราะพระธรรมย่อมนำความสุขสงบความร่มเย็นมาให้
    สมัยก่อนมีลูกศิษย์ได้ถามหลวงปู่บุญตาว่า ทำไมฟ้าจึงผ่าคนแล้วไม่ตายครับ
    หลวงปู่ตอบว่า ฟ้าคงจะทดลองบุญบารมีเขากระมัง
    ลูกศิษย์ท่านนั้นก็ถามว่า ทดลองบารมีใครหรือครับ
    หลวงปู่ตอบกลับไปว่า ลองสวดมนต์บ่อยๆ นั่งกัมมัฏฐานเรื่อยๆ นะ เดี๋ยวก็จะรู้เอง
    ลูกศิษย์คนนั้นก็ได้แต่รับปากว่า...ครับ...หลวงปู่...
    :- MEDIA=facebook]1525983124315132[/MEDIA
    * ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ รวมศิริอายุ ๙๓ปี ๒๒วัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2021
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ศึกประลองกสิณไฟ ระหว่างหลวงพ่อกัสสปมุนีกับมหาฤาษีแห่งอินเดีย// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    133,749 viewsOct 9, 2021
    หลวงพ่อกัสสปมุนี พระอริยสงฆ์ผู้ทรงฤทธิ์ เมื่อครั้งที่ท่านได้จาริกไปบำเพ็ญภาวนา ณ ดินแดนแห่งฤาษี เมืองฤาษีเกษ ประเทศอินเดีย ท่านได้ถูกมหาฤาษีผู้เป็นใหญ่เชื้อเชิญให้ไปหา แล้วมหาฤาษีนั้นก็จู่โจมท่านด้วยกสิณไฟ เป็นเหตุให้ท่านต้องสำแดงฤทธานุภาพออกมา มิเช่นนั้นก็จะอยู่ยาก เขาจะดูหมิ่นศาสนาพุทธได้..

     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    หลวงปู่ภูพาน-พระอาจารย์เจนยุทธนา-จิรยุทฺโธ-760x1024.jpg
    (วัยหนุ่ม)
    หลวงปู่ภูพาน พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทฺโธ วัดโนนสวรรค์ (ภูดินแดง) อ.เมือง จ.สกลนคร
    03 พ.ย. 2020
    ประวัติ หลวงปู่ภูพาน พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทฺโธ วัดโนนสวรรค์ (ภูดินแดง) บ้านโนนสวรรค์ ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร
    หลวงปู่ภูพาน เป็นนาม ธรรมของวิญญาณนักพรตดวงหนึ่ง ที่มีพันธะภาระทางใจกับ พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทโธ
    พระเจนยุทธนา จิรยุทโธ ได้เล่าความหลังที่ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับความลี้ลับนี้ว่า
    “ความเป็นจริงในเรื่องนี้ จะว่าอาตมาระลึกชาติได้ก็ไม่เชิงนัก เพราะอาตมาได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ จากนิมิต (ความฝัน) และเคยพิสูจน์โดยการทําความไม่ยอมเชื่อนิมิตนั้นหลายครั้ง ก็เกือบแย่อยู่ทุกครั้งไป
    นามของหลวงปู่ภูพานชาญฤทธิ์ เป็นนามธรรมในปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นวิญญาณดวงหนึ่ง เมื่อสมัยอดีตชาติเกิดเป็นพระภิกษุสงฆ์ มีนามว่า หลวงปู่รุ้งศิลา
    ส่วนอาตมานี้ ท่านว่าเคยเป็นศิษย์ผู้ติดตามท่าน กลับมาในชาตินี้ อาตมาชื่อเจนยุทธนา แต่พวกชาวบ้านเขาเรียกตามนามนิมิต ว่า หลวงปู่ภูพาน คือเรียกชื่อของ ดวงวิญญาณผู้เข้ามาอาศัยร่างของอาตมาเพื่อบําเพ็ญสมณธรรม เท่านั้น”
    พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทโธ ท่านมีนามเดิมว่า เจนยุทธนา เดชอุ้ย วันที่ท่านเกิดนั้น มารดากําลังเตรียมสิ่งของเพื่อจะไปเวียนเทียนเนื่องในวันเข้าพรรษา ตรงกับ วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ปีกุน ณ จังหวัดชัยภูมิ
    บิดาชื่อ นายเจน เดชจุ้ย มารดาชื่อ นางศรีสะอาด เดชจุ้ย
    สมัยเป็นเด็ก ท่านเป็นบุคคลเลี้ยงยาก อาการเจ็บป่วยไม่ทุเลาลงเลย ๓ วันดี ๔ วันไข้ หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างน่าเบื่อหน่าย เวลาเจ็บป่วยขึ้นมาแต่ละครั้ง ก็เกือบต้องเสียชีวิตหลายคราวเช่นเดียวกัน
    ความอ่อนแอขี้โรค มารดาจึงนําไปยกให้เป็นลูกพระ ซึ่งถือเป็นประเพณีประจําท้องถิ่น พระที่กล่าวมานี้ เป็นพระพุทธรูปประธาน (หลวงพ่อพระองค์แสน) ในพระวิหารพระธาตุเชิงชุม
    ภายหลังจากยกให้เป็นลูกพระแล้ว ท่านผู้เป็นบิดามารดาได้แต่งขันธ์ ๕ ให้ เด็กชายเจนยุทธนา นํามาถวายอยู่เป็นประจํามิเคยขาด จะเป็นด้วยอํานาจของพระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพิ่มพูนบุญบารมีก็ไม่ทราบได้ หรือว่าท่านเป็นลูกของพระกระมัง ทําให้โรคภัยไข้เจ็บที่เคยมาเบียดเบียนอยู่เป็นประจําตัว เกิดหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
    สิ่งลี้ลับ…หลวงปู่ภูพาน ในอดีตได้มาเข้าฝัน โดยมีใจความ ว่า… “อาตมาเคยเป็นอาจารย์ของหนูมาก่อน เราสองคนเคยเป็นอาจารย์-ศิษย์ต่อกันตั้งแต่ชาติปาง ก่อน”
    หลวงปู่ภูพาน หรือ หลวงปู่รุ้งศิลา ได้มาเข้าฝัน พระเจนยุทธนา (สมัยเด็ก) เพื่อกําชับให้บวชเรียนเสียในที่สุด ความฝันมีใจความว่า
    “หนูเตรียมตัวได้แล้ว อาตมาจะได้พาหนูไปหาสัจธรรม หาข้อวัตรปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติ ภาวนานี้ หนูเคยได้รับการปฏิบัติ เป็นครั้งคราวมาแล้ว หนูจงตัดสินใจมาปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาได้เลย เมื่อนั้นหนูจะได้รู้แจ้งเห็น จริงในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า”
    ความฝันนี้ พระเจนยุทธนา สมัยเป็นเด็ก ปรากฏว่าชีวิตของท่านหันเหเข้าสู่ทางธรรมได้อย่าง เด็ดขาด
    ครั้นอายุได้ ๑๖ ปี บิดามารดา ได้จัดการให้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดแก้งกะอาม อําเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยท่านหลวงปู่สังข์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว สามเณรยุทธนา หรือ หลวงปู่ภูพานชาญฤทธิ์ ได้ออกบําเพ็ญสมณธรรม ท่องเที่ยวไปในป่าดง พงไพร อาศัยเทือกเขาภูพานเป็นสถานที่เจริญภาวนาธรรม ในช่วงระยะแรก ๆ ท่านเป็นสามเณรที่ อายุยังน้อย ขณะความมืดเริ่มโรย ตัวลงทําให้จิตใจของสามเณรเจนยุทธนา เกิดความหวาดกลัว อย่างหนัก
    ท่านเล่าว่า “ความกลัวนี้มัน มาจากที่ใดก็ไม่รู้…มันมีอํานาจเหลือเกิน จนทําให้จิตใจไร้ขอบเขต นั่งตัวสั่นดังเป็นไข้ เหงื่อกาฬ เปียกโชกจีวรเหมือนเอาน้ํามาราดใส่ ร่างกายเย็นเฉียบเหมือนคน ตายแล้ว
    อาตมาต่อสู้อย่างหนัก ในที่สุดก็สามารถชนะความหวาดกลัวนั้นได้ ด้วยการพิจารณาหามูลความจริง…”
    สามเณรเจนยุทธนา หรือที่ ชาวบ้านเรียกท่านว่า หลวงปู่ภูพานชาญฤทธิ์ องค์นี้ ก่อนที่จะอุปสมบท เจ้าหน้าที่สํานักพระราชวังประจําพระตําหนักภูพานราชนิเวศน์ ได้ ทําเรื่องเข้ากราบบังคมทูลต่อในหลวงให้ทรงทราบ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อุปสมบทให้ ณ พัทธสีมา วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร อําเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
    ได้รับฉายาว่า “ฉันทธัมโมภิกขุ” โดยมี ท่านเจ้าคุณพระเทพวิมลเมธี เป็นพระอุปัชฌาย์ ในสังกัดพระมหานิกาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2021
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (cont.)
    ต่อมาท่านได้มีโอกาสเข้า กราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ณ วัดราชบพิธ กรุงเทพฯ ได้รับพระโอวาทจากพระองค์ท่าน บังเกิดความเชื่อมั่น และมีกําลังใจที่จะปฏิบัติธรรมต่อไป
    ภายหลังจากเวลาผ่านไป ๔ พรรษา ท่านพระอาจารย์เจนยุทธนา หรือ หลวงปู่ภูพาน ได้รับเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราช เปลี่ยนญัตติใหม่เป็นคณะธรรมยุต

    โดย สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชสิทธิโมลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าคุณมหาคณิสร เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ได้รับฉายาใหม่ว่า จิรยุทโธ และได้อยู่จําพรรษาที่วัดราชบพิธ กรุงเทพฯ เพื่อสนองพระเมตตาคุณ ต่อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ทั้งยังได้อุปัฏฐากตามแก่กาลนั้นตลอดมา

    พระอาจารย์เจนยุทธนา จิรยุทโธ ท่านได้ตั้งสํานักปฏิบัติธรรม หลวงปู่ภูพานสุวรรณบรรพต มรกตวนาราม อําเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

    นอกพรรษา ท่านจะเดินทางไปพํานัก ณ สถานที่แห่งนี้ เพื่อบําเพ็ญสมณธรรม ปฏิบัติตน ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นแนวทางดําเนินจิตให้เข้าถึงโลกุตรธรรม

    ส่วนระหว่างเข้าพรรษา ท่านจะเดินทางมาอยู่จําพรรษา ณ วัดราชบพิธ กรุงเทพฯ เพื่อ รับสนองพระเมตตาและพระกรุณา คุณแด่สมเด็จพระสังฆราช ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ทุกปี

    ปัจจุบันนี้ สํานักปฏิบัติธรรม หลวงปู่ภูพาน ได้เปิดรับคณะผู้ ใคร่ในทางประพฤติปฏิบัติพระ กรรมฐานอยู่เป็นประจํา ซึ่งจะมีชาวกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ นําหมู่คณะไปแสวงหาความวิเวกทางใจ หลบความจําเจ ความวุ่น วายใจ ไปอยู่ป่าดง ซึ่งมีเงื้อมผา ถ้ํา หลืบหิน ที่ยื่นออกมา ทําสมาธิ ภาวนาหาความสงบในจิตใจเพิ่ม ขึ้นทุกวัน
    :- https://www.108prageji.com/หลวงปู่ภูพาน-พระอาจารย์/
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    lp-sama.jpg
    ประวัติหลวงปู่ซามา อาจุตฺโต
    วัดป่าอัมพวัน อำเภอเมือง จังหวัดเลย
    ข้อมูลจาก http://www.thavorn.net/techer/teacher/teacher4.htm
    หลวงปู่ซามา ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีความเชื่อในตัวเอง และรับฟังครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนนั้นด้วยความศรัทธายิ่งครูบาอาจารย์ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยได้อยู่ใกล้ชิดปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ เช่น...หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ศรีจันทร์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่คำดีการที่หลวงปู่ออกติดตามหลวงปู่มั่นไปทางภาคเหนือนั้น ก็เพื่อหวังธรรมเทศนาและอุบายธรรมจากท่านเท่านั้น โดยคิดว่า “ถ้าพบและได้รับอุบายธรรมแล้วจะปฏิบัติตามนั้น แม้ไม่ได้ธรรมที่ตนปฏิบัติก็ยอมตาย” ก่อนจะได้พบกับหลวงปู่มั่น ท่านมีโอกาสได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ถึง ๔ พรรษา

    หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต เกิดวันอาทิตย์ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๔๗ ณ บ้านดอนแขม ต.บางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่นบิดา-มารดาชื่อนายลุย และนางบุญ นามสกุล สินทอน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ใน จำนวน ๘ คน
    บิดามารดามีอาชีพทำนา ท่านอยู่ช่วยบิดาทำงานท้องนาอยู่จนเป็นหนุ่มใหญ่ จึงได้บวชเป็นพระในครั้งแรก ต่อมาได้ลาสึกออกไปช่วยบิดามารดาทำงาน นา-ไร่ต่อไปอีก เพื่อทดแทนบุญคุณท่าน ครั้นหมดภาระหน้าที่ของตน เพราะได้ทำงานหาเงินพอที่บิดามารดาไม่ลำบากแล้ว ท่านก็ได้อุปสมบทอีกครั้งที่วัดข้างๆ บ้าน คราวนี้อยู่ได้ถึง ๔ พรรษา แต่เป็นฝ่ายมหานิกาย
    สมัยนั้นการควบคุมยังไม่ทั่วถึง จึงเป็นเหตุให้พระสงฆ์หย่อนยานทางพระธรรมวินัยมาก คือพระธรรมวินัยสอนอย่างหนึ่ง แต่ผู้บวชปฏิบัติตนไปอีกอย่างหนึ่ง ครั้งแรกได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ว่าเป็นพระผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมากและท่านก็เป็นพระธุดงคกรรมฐาน ท่านหลวงปู่ซามา จึงอยากฝากตัวเป็นศิษย์ แต่หลวงปู่ซามา มีโอกาสดี ได้เข้านมัสการท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากท่าน ก็เข้าใจว่า “บัดนี้เราได้มาพบพระดีมีวินัยชอบแล้ว” ท่านจึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ แต่มีเหตุขัดข้องในเรื่องนิกายอยู่ ท่านจึงต้องให้ขออนุญาตพระอุปัชฌาย์องค์เดิม ก็ได้รับอนุญาตด้วยความเต็มใจ พร้อมกับอวยพรให้มีดวงตาเห็นธรรม
    หลวงปู่ซามา จึงได้มาแปรญัตติใหม่ เป็นพระธรรมยุตนิกาย ที่วัดบ้านเต่าชัยชุมพล อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ โดยมีท่านพระครูพิศาล (ศรีจันทร์) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์หล้า เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า “อาจุตฺโต”
    เมื่อแปรนิกายแล้ว เท่ากับ เป็นพระบวชใหม่ ท่านหลวงปู่ซามาได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร จนเกิดสมาธิขั้น “ฌาน” และได้ติดตามเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ขณะนี้ท่านได้สมาธิแล้ว จึงรีบเร่งการภาวนาเดินจงกรม ตลอดวันตลอดเวลา บางวันอดอาหารเสียเพราะเสียดายเวลาการปฏิบัติธรรม
    ต่อมาได้ติดตาม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไปทางเหนือ และได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับ หลวงปู่ตื้อ อีก ๑ พรรษา หลวงปู่ซามา ได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับ หลวงปู่คำดี ปภาโส นานถึง ๑๐ พรรษา เพราะว่าท่านเคยพูดว่า “ได้พระอาจารย์ที่วิเศษจึงอยู่นานหน่อย”
    การปฏิบัติธรรมความดีบริสุทธิ์นั้น หลวงปู่ซามาถือว่า... “เป็นกำไรของจิตใจเรา จะได้หมดทุกข์เสียที”
    ท่านเคยได้ร่วมคณะจากพระอาจารย์ใหญ่หลายองค์ ไปเป็นธรรมทูตขอนิมนต์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ให้กลับมาอยู่ในจังหวัดเลย แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะหลวงปู่แหวนไม่ยอมกลับ ขออยู่บนดอยแม่ปั๋งดังเดิม
    หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกันกับ พระอาจารย์กว่า
    หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต ท่านเคยเดินธุดงค์ไปจนถึงประเทศลาว และได้ไปรับข้ออรรถธรรมทางใจอีกเป็นอันมาก ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญท่าน เดินธุดงคกรรมฐานไปในป่าเขาดงเสืออยู่ตลอดเวลา

    การที่ท่านได้สละกายและใจออกปฏิบัติธรรมกรรมฐานนี้ เป็นความสมัครใจของท่าน เพราะในครั้งแรกที่ได้มีโอกาสพบเห็นพระธุดงคกรรมฐาน คือ พระอาจารย์สิงห์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน หลวงปู่เทสก์ และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ครั้นเมื่อได้ฟังธรรมะปฏิบัติ ก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า ท่านได้ออกเดินธุดงค์ ไปตามป่าเขา เพื่อแสวงหาวิโมกขธรรมเกือบทั่วประเทศไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...