หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ / มัฏฐกุณฑลิชาดก

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    “ถ้ามันจะตายให้มันตาย” แล้วปล่อยวางหมด ปรากฏว่าได้ยินเสียงลมพัดมาแล้วเว้นวัดไป ข้ามไปทางอำเภอบ้านแพง ไม้ยางล้มเสียงดังหลายวัน
    ต่อมาท่านได้เข้าไปอำเภอบ้านแพง เห็นศาลาเล็กๆ กระต๊อบพังหมด แต่ที่วัดป่าบะปะทาย ค้นหาแล้วไม่พบสถานที่นี้ในฐานข้อมูล ไม่เป็นอะไรเลย ต่อมาหลวงปู่เดินทางไปบึงโขงหลง แล้วไปพักอยู่ที่บ้านโสกก่าม ๗-๘ วัน จากนั้นธุดงค์ขึ้นภูวัว โดยไปพักอยู่ที่ ถ่ำแอ่น ค้นหาแล้วไม่พบสถานที่นี้ในฐานข้อมูล (ที่ถ่ำแอ่นแห่งนี้ภายหลังเมื่อหลวงปู่มาอยู่ที่วัดป่าปทีปปุญญารามแล้ว ได้นิมิตเห็นควายเดินออกมาจากถ่ำแอ่น ท่านจึงกำหนดจิตถามว่า ทำไมจึงมีควายออกมา ก็เกิดความรู้ขึ้นมาว่า อดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นควายและอยู่ที่ถ่ำแอ่นนี้) หลวงปู่ท่านอยู่องค์เดียว พอตอนเย็นเห็นพวกมดดำเดินอยู่ ท่านก็คิดว่าเรามีเพื่อนแล้ว ไม่ได้อยู่องค์เดียว ท่านคิดขำๆ ไปอย่างนั้น เช้ามาโยมที่ไปด้วยทำอาหารถวาย เพราะอยู่ที่นี่บิณฑบาตไม่ได้ อาศัยโยมบ้านดอนเสียด ๖-๗ วันก็ขึ้นมาเอาอาหารแห้ง ปลาแห้ง ตัดยอดบุก ยอดหวาย มาถวายพระ


    lp-pharn-18.jpg


    ต่อมา พระอาจารย์สุภาพ ธัมมปัญโญ จากวัดทุ่งสว่าง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร พาพระมาพักอยู่ด้วย
    หลวงปู่ภาวนาอยู่ที่นั่นปรากฏจิตใจมีความดีอกดีใจ มีปีติมากที่ได้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาเพราะจิตอยากไปมานานตั้งแต่ก่อนบวช เพิ่งจะได้มาเป็นครั้งแรก ตอนนั้นทั้งเสือ ช้าง หมี มีชุกชุมมาก แต่หลวงปู่ท่านไม่กลัว ภาวนาดีมาก จิตรวมเป็นปรกติ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    อยู่ที่นั่นประมาณ ๑ เดือนก็ลงมาพักอยู่บ้านโสกก่าม แล้วมาพักที่บึงโขงหลง ซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางน้ำ สายๆ ราว ๘ โมงเช้า ญาติโยมชาวบ้านเอาเรือมารับไปบิณฑบาต อยู่ที่นี่หลายวันจึงมาอยู่ที่บ้านโพธิ์หมากแข้ง
    ต่อมาได้เดินทางไปอยู่ศึกษาธรรมกับ ท่านพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ที่วัดอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ อำเภอวานรนิวาส (ปัจจุบันเป็นอำเภออากาศอำนวย) จังหวัดสกลนครในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านพระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย แห่งวัดเขาสุกิม อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ได้มาจำพรรษาอยู่ด้วย
    จากนั้นท่านกลับมาอยู่กับหลวงปู่อุ่น อุตฺตโม อีก ไม่นานท่านก็ไปอยู่บ้านกุดเรือ หลวงปู่อุ่นท่านส่งคนมาตามกลับแต่ท่านไม่กลับ และได้เดินทางไปอยู่บ้านอุ่มเหม้า อำเภอพังโคน
    • พรรษาที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๙๔
    วัดป่าบ้านอุ่มเหม้า อ.พังโคน จ.สกลนคร
    ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ หลวงปู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านอุ่มเหม้า วัดวีระธรรม ตั้งอยู่เลขที่ ๘๐ บ้านอุ่มเหม้า หมู่ที่ ๖ ตำบลไฮหย่อง อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์แตงอ่อน กัลยาณธัมโม เป็นประธานสงฆ์ (ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต องค์หนึ่ง ปัจจุบันท่านอยู่ที่วัดป่าโชคไพศาลหรือวัดกัลยาณธัมโม บ้านหนองนาหาร อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ท่านอายุเท่ากับหลวงปู่ผ่าน) นอกจากนี้ ยังมีพระคำพันธ์ซึ่งเป็นชาวบ้านอุ่มเหม้า และองค์อื่นๆ อีกหลายองค์จำพรรษาร่วมกัน

    lp-pharn-31.jpg
    หลวงปู่ท่านเร่งความเพียรมาก เดินจงกรมจนเหนื่อยก็ยังไม่ยอมหยุด โดยเอาพระจันทร์เป็นนาฬิกา แต่ทางด้านจิตนั้นจิตก็รวมเป็นสมาธิ มีความเอิบอิ่ม มีปีติอยู่เป็นธรรมดา พรรษากาลนี้ท่านถือธุดงวัตรครุปัจฉาคะทีกังคะธุดงค์ คือไม่รับอาหารที่โยมนำมาถวายอีก ฉันเฉพาะอาหารที่บิณฑบาตได้มาเท่านั้น หมากก็ไม่ฉัน บุหรี่ก็ไม่สูบ นอกจากนี้ บ่าของหลวงปู่ท่านลอกตลอดทั้งพรรษาเนื่องจากสะพายบาตรเดินมาก เมื่อครั้งลงมาจากภูวัว ตอนเย็นไม่ได้ทำวัตรสวดมนต์ร่วมกัน ต่างคนต่างภาวนา ร่วมกันทำวัตรเฉพาะวันพระ
    วันหนึ่งมีลมใหญ่พัดมา หลวงปู่ท่านขึ้นกุฏิ นั่งสมาธิอธิฐานจิตว่า “แล้วแต่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะรักษา” แล้วเข้าสมาธิ หลวงปู่นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ส่วนลมมาทางทิศตะวันตก ปรากฏว่าลมพัดเข้าไปในหมู่บ้าน ทำให้ต้นหมาก ต้นมะพร้าวหักโค่นลง ส่วนวัดไม่เป็นอะไร ตอนเช้าขึ้นมาญาติโยมชาวบ้านเขาเลยเอามาถวายพระ ตลอดพรรษากาลนี้ เวลาลงอุโบสถฟังปาติโมกข์ต้องไปลงที่วัดป่าศรีจำปาชนบท อำเภอพังโคน กับ หลวงปู่คำ ยสกุลปุตฺโต โดยพากันเดินลัดทุ่งนาไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2021
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ภรรยาของกำนันพรหม บ้านขามเฒ่า มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปอยู่บ้านขามเฒ่าอีก
    • พรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๙๕
    วัดป่าบ้านขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม
    ปีนี้จำพรรษากับ พระอาจารย์คำ (บ้านเดิมท่านอยู่ที่บ้านเศรษฐี อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านเคยมาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นด้วย) และ พระอาจารย์ปั่น ปัญญาวโร ซึ่งเพิ่งจะบวชในปีนั้น (ภายหลังท่านมาอยู่ที่วัดป่าบ้านคำตานา ตำบลตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) คราวที่อยู่บ้านหนองโดก ภาวนาเกิดคำว่า “นโม ข่ายเย็น ข่ายร้อน” นั้นจิตสว่างเห็นทางภายนอก เห็นต้นไม้ เห็นภูเขา เห็นคนนั้นคนนี้ แต่เห็นได้ไม่นาน สักพักแล้วก็ดับไป เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง
    คราวนี้มาอยู่บ้านขามเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จึงพยายามจะให้เห็นร่างกายภายใน เพราะฟังครูบาอาจารย์มา ให้น้อมเข้าไปภายใน ลอกหนังออก เข้าไปถึงเอ็น แล้วเข้าไปกระดูก หลวงปู่ท่านก็พยายามเพ่งเข้าไปภายใน โดยการนึกเอาว่ากระดูก เอ็น เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ยังไม่เห็น เลยเปลี่ยนเอากระดูกหลังเพียง ๓ ท่อนมาเพ่ง แทนที่จะเพ่งทั้งร่าง ท่านค่อยๆ ทำให้สติกับปัญญามีความสมดุลกัน เพ่งอยู่ไม่นานปรากฏว่าจิตรวม เกิดแสงสว่างจ้าอยู่กลางอก ไม่เห็นกระดูกเลย แต่เห็นไส้พุงทั้งเขียวทั้งดำ จิตใจเกิดความปีติ อัศจรรย์ว่าตั้งแต่บวชมาเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก จากนั้นท่านก็เพ่งจนติดตา
    ตื่นเช้ามาท่านว่า ท่านฉันข้าวไม่อร่อยเลย ตกเย็นมาท่านก็ภาวนาอีก ก็ยังไม่เห็นกระดูกอยู่เช่นเดิม แต่เห็นออกไปภายนอก โดยเห็นตัวหลวงปู่กำลังสรงน้ำอยู่กลางหุบเขา แต่สายน้ำนั้นมีความแปลก คือ ด้านหน้าไหลลงมาจากภูเขา ผ่านหลวงปู่แล้วไหลกลับขึ้นบนเขาด้านหลัง ไหลขึ้นไหลลงอยู่อย่างนั้นจนจิตถอน ท่านว่านิมิตนี้เป็นนิมิตที่ดี เป็นสิ่งบอกว่าท่านจะได้ออกจากทุกข์
    พอถึงวันที่ ๓ นั่งสมาธิจิตรวมลง ปรากฏท่านขึ้นไปอยู่บนยอดเขา ตามร่างกายมีเครื่องประดับเป็นเพชรนิลจินดาแพรวพราว จิตเกิดปีติเอิบอิ่ม มองลงมาเห็นมนุษย์ เรือนชานบ้านช่อง หลวงปู่ท่านได้พิจารณาเห็นว่ามนุษย์นี้เกิดขึ้นมา กินแล้วก็พากันนอน ตื่นมาก็ไปทำมาหากิน ได้มาแล้วก็พากันกินแล้วก็นอน เป็นอย่างนี้เรื่อยไป ไม่ได้นึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ได้นึกถึงทางหนีออกจากวัฏสงสารเลย พิจารณาได้อย่างนี้แล้วท่านจึงคิดว่า “เราเห็นแล้ว เราจะไม่ทำอย่างนั้น จะต้องหนีออกจากวัฏสงสารให้ได้” นั่งดูอยู่อย่างนั้นนานเข้า ปรากฏว่าท่านลอยไปถึงบ้านนาโดน เห็นไฟกำลังไหม้พระองค์หนึ่ง ท่านจึงพิจารณาไฟไหม้นั้นคือ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ พระไฟไหม้คือ พระยังมีราคะ โทสะ โมหะ จากนั้นก็ลอยไปนั่งอยู่บนชะง่อนหินบนภูเขา หันหน้าไปทางทิศเหนือ นั่งภาวนาเพ่งร่างกาย เห็นตับไตไส้พุงอย่างที่เคยเห็น ตอนนี้เครื่องประดับไม่มีแล้ว นั่งเพ่งอยู่นาน จึงถามตัวเองขึ้นว่าที่นี่ที่ไหน ? จิตตอบว่า ถ้ำผากง (ถ้ำนี้อยู่อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ท่านเคยมาเอาพระพุทธรูปเศียรขาดอันเนื่องมาจากตกลงมากับพื้น ท่านเอาไปบูรณะต่อเศียร ปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์แบน ธนากโร กำลังไปสร้างวัดอยู่ที่นั่น)

    lp-pharn-22.jpg

    เมื่อออกพรรษาแล้ว ต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๖ หลวงปู่ท่านได้เดินทางมาวัดป่าบ้านภู่ (วัดป่ากลางโนนภู่) อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อมาร่วมงานฌาปนกิจศพ ท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน (ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นผู้ใหญ่องค์หนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นพี่ชายของ ท่านพระอาจารย์กว่า สุมโน และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร) ในงานนี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้มาร่วมงานกันมากมาย อาทิเช่น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และหลวงปู่หลุย จันทสาโร เป็นต้น ท่านได้เข้าไปกราบหลวงปู่อ่อน ซึ่งพรรษานี้หลวงปู่อ่อนท่านไปอยู่ที่บ้านดอนเงิน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
    lp-pharn-26.jpg
    เมรุเผาศพของพระเถระทางภาคเหนือและอีสานทำเป็นรูปนกหัสดิลิงค์ และจะ
    เผาไปพร้อมกับศพ (เป็นภาพงานศพ พระพุทธพจนวราภรณ์ (จันทร์ กุสสโล) วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่)
    หลวงปู่อ่อนบอกว่า “ท่านผ่าน พระอุปัชฌาย์มรณภาพอยู่ที่วัดจอมศรี ให้ไปปลงศพท่านนะ”
    หลวงปู่จึงได้ติดตามหลวงปู่อ่อนไปจังหวัดอุดรธานี ไปพักที่วัดป่าบ้านจิก (วัดทิพยรัฐนิมิตร) อยู่หลายวัน จึงขึ้นรถไฟไปวัดจอมศรี อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี หอศพของ พระครูพิทักษ์คณานุการ (หลวงปู่สี ธัมมทินโน) พระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ ทำเป็นรูปนกหัสดีลิงค์คือนกมีงวงเป็นช้าง พอถึงวันที่จะเผา เขาแห่ศพด้วยเกวียนเข้าไปกลางหมู่บ้าน พวกญาติโยมก็ถวายทาน กลางคืนจึงเผา ในงานมีมหรสพมากมายทั้งฉายหนัง หมอลำ
    หลวงปู่เห็นเขาดูหนัง (ภาพยนตร์) กัน ท่านจึงพิจารณาว่าทำไมเขาเรียกว่า “หนัง” เห็นมีแต่รูปเลยถามตัวเองว่า “อะไรเป็นหนัง” จิตตอบขึ้นว่าคำที่ว่า “หนัง” คือว่ามันสวยเพราะมนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ติดอยู่ที่หนัง ที่ว่าคนนั้นสวย คนนี้งาม ก็เพราะมีหนังห่อหุ้ม ถ้าไม่มีหนังก็น่าเกลียดน่าขยะแขยง เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ท่านรู้สึกว่าหนัง (ภาพยนตร์) นั้นไม่เห็นน่าดู สังขารเขาแต่งขึ้นมาทั้งนั้น ไม่รู้จะไปหลงทำไม จิตไม่อยากดูจึงเลิกดู
    • พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๙๖
    วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

    lp-pharn-23.jpg
    เมื่อเสร็จงานศพท่านพระอาจารย์กู่แล้ว หลวงปู่เดินทางกลับมาพักที่วัดป่าบ้านจิก (วัดทิพยรัฐนิมิตร) อีก แล้วไปอยู่ที่บ้านโนนทัน ไปภาวนาอยู่ที่นั่นพร้อมกับหลวงปู่อ่อน, พระบุญหนา (ปัจจุบันคือ พระอาจารย์บุญหนา ธัมมทินโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านหนองโดกหรือวัดป่าโสตถิผล อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร), เณรสมบูรณ์, เณรเลย อยู่หลายวัน แล้วหลวงปู่นึกอยากกลับมาเยี่ยมบ้าน จึงไปกราบนมัสการลาหลวงปู่อ่อนแต่ท่านไม่อนุญาต แต่ให้ไปบ้านหนองบัวบานกับท่าน จึงได้ไปช่วยท่านสร้างวัดป่านิโครธาราม ที่บ้านหนองบัวบาน
    วันหนึ่งหลวงปู่ท่านมีอาการไข้ป่ากำเริบ จึงไปขอยาจาก หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ได้มาแล้วก็วางยาไว้ข้างตัวแล้วนั่งสมาธิ เนื่องจากท่านพระอาจารย์มั่นได้เคยเทศน์ไว้ว่า ให้รักษาการป่วยด้วยยาปรมัตถ์คือการภาวนา ท่านจึงลองดู เมื่อนั่งแล้วจิตรวมปรากฏแสงสว่าง เห็นต้นไม้หมดทั้งโลก เอายอดทิ่มดินเอารากชี้ฟ้า ครั้นหมดกำลังสมาธิ จิตก็ถอนออก อาการไข้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ท่านก็สงสัยว่าทำไมเป็นอย่างนี้ จึงไปกราบเรียนถามหลวงปู่อ่อน หลวงปู่อ่อนท่านรู้วาระจิตของศิษย์แล้วแต่ท่านไม่พูด ท่านตอบว่า “เออ ! ดีอยู่ ดีอยู่”
    หลวงปู่ท่านยังสงสัย ก็เดินคิดไปในวัด พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหัวปูมเป้า (พืชชนิดหนึ่ง) ที่เขาแขวนไว้ ท่านเลยคิดว่า “ถ้ามึงไม่ได้กินดิน มึงตายนะ”
    ทันใดนั้นท่านก็วาบขึ้นในดวงจิตว่า จิตของสัตว์ในโลกอันนี้ พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ว่า “พวกท่านทั้งหลายจงถอนตัณหาพร้อมทั้งราก”
    หากจิตของเราไม่ไปยึดเอารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ จิตนั้นย่อมเข้าถึงคุณธรรม จิตเป็นอนาสโว คือ จิตไม่ยึดมั่นถือในสิ่งทั้งปวง พ้นจากบ่วงร้อยรัดถึงความพ้นทุกข์ เหมือนกับว่าต้นไม้ที่รากไม่หยั่งลงดินแล้ว

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านภาวนาเห็นมนุษย์พากันเอามืองมอยู่ในดินหมดทั้งโลก ท่านพิจารณาได้ว่า มนุษย์นี้เกิดมาก็พากันงมโลก หลงโลก เอาแต่ทำมาหากิน ร้องรำทำเพลง ร้องหากันแต่ผู้หญิงผู้ชาย สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้คิดถึงทางจะหนีจากวัฏสงสาร จึงพากันงมโลก หลงโลก
    พอวันใหม่มาเข้าสมาธิอีก ปรากฏลอยขึ้นไปบนอากาศโดยมีไม้กระดาน ๒ แผ่นรองอยู่ข้างใต้ หลวงปู่ท่านจึงอุทานว่า
    “มันรองเราแล้ว” สิ่งที่รองอยู่คือ ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา อีกวันหนึ่งภาวนา ปรากฏว่าเข้าไปในถ้ำเสือ หลวงปู่ท่านจึงคิดสละตาย ให้เสือมากินเสีย เพราะรูปอันนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา ท่านปล่อยวางได้ เสือก็ไม่ได้มากินท่าน ปรากฏมีหญิง ๒ คนมาใส่บาตรท่าน แล้วจิตก็ถอนออก หลวงปู่ท่านว่านี่เป็นสิ่งลองใจว่ายังยึดมั่นถือมั่นในรูปนี้หรือไม่
    มาถึงจุดนี้ปรากฏว่าจิตของท่านเฉย คือจิตเห็นเกิดเห็นดับ ทำจิตรอบรู้ในสังขาร รู้สภาวธาตุ รู้สภาวธรรม สภาวปัจจัย จิตหยุดไม่นึกไปในอดีต อนาคตเห็นเกิดเห็นดับหมดทั้งโลก ต้นไม้ แผ่นดิน ภูเขา เมื่อจิตเฉยก็ไม่ได้อยากพูดคุยกับใคร ไปไหนก็นั่งเฉย ขึ้นไปกราบหลวงปู่อ่อนแล้วก็เฉย จนหลวงปู่อ่อนท่านว่าพระฤๅษี
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านข้ามทุ่งนาจากบ้านหนองบัวบาน มาบ้านหนองแซง ซึ่งไม่ไกลกันนัก ท่านมาศึกษา กับ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ที่วัดป่าหนองแซง (วัดราษฎรสงเคราะห์) อยู่ประมาณ ๒๐ วัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2021
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (cont.)
    ช่วงที่อยู่วัดป่าหนองแซง (วัดราษฎรสงเคราะห์) นี้ เวลาใส่บาตรแล้วญาติโยมชาวบ้านเขาจะไม่มาวัดอีกเพราะงานเขามาก วันหนึ่งพระท่านมาชวนไปภาวนาบนภูเขา (แถบวัดถ้ำกลองเพลในปัจจุบัน) หลวงปู่ท่านบอกว่า ขออธิษฐานดูนิมิตก่อน วันนั้นท่านนั่งภาวนาปรากฏจิตรวมแล้วเห็นตะขาบตัวใหญ่เท่าต้นมะพร้าวยาว ๖-๗ เมตร นอนกลิ้งไปกลิ้งมา เมื่อออกจากสมาธิจึงไปเล่าให้เพื่อนพระฟัง แล้วบอกว่าอย่าไปนะ อยู่กับครูบาอาจารย์ดีแล้ว เพราะช่วงเดือน ๓ นี้ชาวบ้านเขาขึ้นเขาไปเก็บผักหวานกัน มันจะวุ่นวาย ตกลงก็เลยไม่ไป
    วันหนึ่ง เมื่อหลวงปู่ได้ฟังหลวงปู่บัวเล่าถึงอดีตชาติที่เคยเป็นหมูของท่านแล้ว จึงรู้สึกอยากรู้อดีตชาติของตนบ้าง เมื่อเข้าที่ภาวนาจิตรวมแล้ว ปรากฏช้างมานอนอยู่ข้างหน้า จึงถามว่า มาทำไม ? จิตตอบว่า ไม่รู้หรือว่านั่นคือตัวเรา เราเคยเกิดเป็นช้างในสมัยพุทธกาล ได้เป็นลูกน้องของช้างปาลิไลย์ ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับอยู่ด้วยและแสดงธรรมโปรด (กับทั้งทรงมีพุทธพยากรณ์ว่า ในอนาคตเบื้องหน้าช้างปาลิไลย์โพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระสุมงคลพุทธเจ้า จะมาตรัสรู้เป็นลำดับที่ ๑๐ เมื่อนับพระศรีอาริยเมตไตรย เป็นลำดับที่ ๑) จากนั้นจิตเห็นสุนัขนอนอยู่ จึงถามว่า ใคร ? ตอบว่า ไม่รู้จักเราหรือ เราเคยเกิดเป็นสุนัข จากนั้นก็เห็นนกกาบบัว (ซึ่งเป็นนกกินปลา) ยืนอยู่ แล้วก็ไปเห็นเป็นคนนั่งอยู่ในกระท่อม (เถียงนา) เป็นคนเลี้ยงวัว เมื่อท่านเห็นอย่างนี้แล้ว เกิดความเบื่อหน่ายในชาติ-ความเกิดเป็นอย่างยิ่ง เห็นว่ามันเป็นทุกข์หนัก
    อีกครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านภาวนาเกิดนิมิตเห็นงูจงอางอยู่ในอก แล้วมันก็ลอยตรงออกมา ตัวงูจงอางยาวมาก ท่านพิจารณาได้ความว่า งูจงอางเป็นสัตว์มีพิษ คือกิเลส เคยอยู่ในตัวเรา บัดนี้มันเริ่มออกจากเราแล้ว ถัดจากนั้น ๒-๓ วันเกิดนิมิตเป็นเสียงว่า “ท่านจะตายนะ” หลวงปู่จึงเร่งความเพียรอย่างหนัก เพราะเห็นว่าเวลาเหลือน้อย ต้องช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด พอถึง ๗ วันก็ยังไม่เห็นตาย จึงเล่าให้พระองค์อื่นฟัง พระองค์นั้นว่า “ตายมีหลายอย่าง ที่ว่าตายนั้น อาจจะเป็นตายจากกิเลสก็ได้”
    จากวัดป่าหนองแซง (วัดราษฎรสงเคราะห์) ท่านกลับไปที่วัดป่านิโครธารามอีก ต่อมาจึงกราบนมัสการลาหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ กลับมาบ้านเกิด ได้มาอยู่กับ หลวงปู่อุ่น อุตตฺโม ที่วัดอุดมรัตนาราม ใกล้เข้าพรรษาแล้วหลวงปู่อุ่นให้มาตั้งวัดขึ้นที่บ้านเซือมอันเป็นบ้านเกิด หลวงปู่จึงได้พาเณรมาด้วยมาตั้งวัดขึ้นที่บ้านเซือม
    • พรรษาที่ ๘ พ.ศ. ๒๔๙๗
    ดอนบ้านร้าง บ้านเซือม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร


    lp-pharn-21.jpg
    สถานที่ที่หลวงปู่มาจำพรรษานี้เป็นดอนบ้านร้าง โยมแม่ของหลวงปู่เล่าให้ท่านฟังว่า ตอนที่ตั้งครรภ์หลวงปู่ ในปี ๒๔๖๕ นั้น ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เคยมาพำนักอยู่ที่ดอนบ้านร้างแห่งนี้ แต่สถานที่นี้หลวงปู่พิจารณา เห็นว่าคับแคบ ไม่เหมาะที่จะสร้างวัด ท่านจึงไปเลือกดูสถานที่หลายแห่ง แต่ก็ไม่มีที่ใดเหมาะสม พอออกพรรษา หลวงปู่จึงมาตั้งวัดขึ้นที่ป่าช้าบ้านเซือม คือ วัดป่าปทีปปุญญารามปัจจุบันนี้
    เมื่อตั้งวัดเรียบร้อยแล้ว ฤดูแล้งท่าน ก็ไปวิเวกที่ภูสิงห์ แล้วจึงมาอยู่ที่ถ้ำบูชา ภูวัว สมัยนั้นท่านว่า ถ้ำบูชานี้เตี้ย เวลายืนต้องระวัง เพราะหัวจะชน เพดานถ้ำ แต่ปัจจุบันมันพังลงๆ จนหัวไม่ชนแล้ว
    ต่อมาท่านขึ้นไปภาวนาอยู่ที่ถ้ำซึ่งท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร เคยอยู่บนภูลังกา พร้อมกับหลวงพ่อล้อมซึ่ง เป็นพี่เขยของหลวงปู่อุ่น อุตตฺโม และเพิ่งบวชใหม่ๆ ตอนกลางวันหลวงพ่อล้อมเห็นต้นมะละกอ จึงพูดเล่นว่า “เอาไปตำฉันเพลคงอร่อย”
    ตกกลางคืน ขณะที่หลวงปู่นั่งสมาธิ ปรากฏเห็นผู้หญิงอุ้มลูกอยู่ สังเกตจากบุคลิก และสำเนียงพูด คงเป็นชนเผ่าโซ ผีนั้นพูดว่า “หลวงพ่อๆ เอาบ่หมากหุ่ง (มะละกอ)”
    สักครู่หลวงปู่ได้ยิน เสียงหลวงพ่อล้อมซึ่งกำลังจำวัดอยู่ ละเมอร้องขึ้นเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง ท่านจึงไปปลุกแล้วถามว่าเป็นอะไร หลวงพ่อล้อมบอกว่า ฝันเห็นเสือมาหา
    ตอนที่หลวงปู่ขึ้นไปอยู่บนภูลังกานี้ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ท่านลงมาแล้ว ซึ่งช่วงฤดูพรรษาที่ผ่านมาท่านจำพรรษาบนภูลังกานี้เมื่อเข้าฤดูฝนแล้ว หลวงปู่จึงกลับมาจำพรรษา ที่วัดป่าปทีปปุญญาราม บ้านเซือม เป็นปีแรก
    • พรรษาที่ ๙ พ.ศ.๒๔๙๘
    วัดป่าปทีปปุญญาราม บ้านเซือม ต.โพนแพง อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร


    lp-pharn-58.jpg
    หลวงปู่เล่าว่า ตอนที่มาอยู่ที่นี่ บรรดาปีศาจที่อาศัยอยู่ เขาพากันมาถวายสถานที่นี้ให้ท่านแล้วหนีไปอยู่ที่อื่น สถานที่นี้เป็นป่าช้าบ้านเซือม ติดกับที่นาของนายบุญชู สุวรรณเมฆ และนายคำภา ชาไมล์ โยมทั้งสองจึงถวายที่ดินเพิ่มเติมอีก จนมีเนื้อที่ทั้งหมด ๓๕ ไร่ ๒ งาน ๒๕ ตารางวา หลวงปู่จึงได้ตั้งชื่อวัดว่า “ปทีปปุญญาราม” เพื่อเป็นที่ระลึกแก่โยมผู้ถวายที่ดิน ตอนท่านมาอยู่แรกๆ ก็ไม่ได้สร้างอะไรมากมาย เอาพออยู่พออาศัยเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ออกพรรษาแล้วก็ไปวิเวกที่ถ้ำพระ ถ้ำบูชา ภูวัวอีก ต่อมาโยมซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่อุ่นไป แต่หลวงปู่อุ่นท่านไม่ได้ไปด้วย เพราะท่านเจ็บเท้า หลวงปู่ผ่านเวลาขึ้นภูวัวจึงได้หายาสมุนไพรมาถวายท่านอยู่เสมอ พอฤดูฝนจึงกลับมาบ้านเซือม


    • พรรษาที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๔๙๙
    วัดป่าบ้านหนองโดก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    เมื่อใกล้เข้าพรรษา ชาวบ้านหนองโดกได้นิมนต์ไปอยู่ เพราะที่วัดไม่มีพระ ท่านจึงไปจำพรรษาที่นั่น ระหว่าง นั้นท่านได้เป็นครูสอนนักธรรมตรี ทั้งๆ ที่ท่านเป็นไข้มาลาเรียอยู่ด้วย เจ้าคุณพิศาลศาสนกิจ (สนธิ์ ขนฺตฺยาคโม) ซึ่งเป็นหลานหลวงปู่ฝั้น อาจาโร สั่งให้หลวงปู่สอบนักธรรมเอก แต่หลวงปู่ไม่อยากสอบ ท่านเจ้าคุณบอกว่าไม่ได้ ต้องสอบ หลวงปู่จึงอ่านหนังสือเอาเอง ไม่ได้เรียน พอออกพรรษาแล้วไปสอบที่วัดสุทธิมงคล พอสอบเสร็จคืนนั้น ฝันว่า ได้อยู่กลางเกาะ เห็นแผ่นดินอยู่ลิบๆ จึงมั่นใจว่าต้องสอบได้แน่ ผลปรากฏว่าสอบได้จริง ในพรรษานี้ ครั้งหนึ่งท่านถ่ายเป็นเลือดจนเกือบเสียชีวิต


    lp-pharn-24.jpg


    แผนที่แสดงสถานที่ที่หลวงปู่ผ่านธุดงค์จาริกในช่วงพรรษาที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๔๙๙)

    ปีนี้ท่านตั้งใจว่าจะไม่ขึ้นภูวัว แต่พอดีออกพรรษาแล้ว หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เดินทางมาพักกับหลวงปู่สีลา อิสสฺโร ที่วัดอิสสระธรรม บ้านวาใหญ่ อ.อากาศอำนวย ท่านสั่งคนมาบอกว่า
    “ให้ท่านผ่านมาหา ให้พาขึ้นภูวัวไปถ้ำบูชา” หลวงปู่จึงเดินทางไปรับหลวงปู่อ่อน ที่บ้านวาใหญ่ แล้วเดินทางไปบ้านโพนงาม ถ้ำเต่า ท่าแร่ แล้วข้ามลำน้ำสงคราม ไปพักอยู่ที่บ้านท่าพันโฮง ๕-๖ วัน เพราะหลวงปู่อ่อน ภาวนาจิตสงบดีมาก ออกจากบ้านท่าพันโฮง แล้วไปพักบ้านดอนแดง ๑ คืน จากนั้นไปพักที่เซกา ๑ คืน ซึ่งตอนนั้นกำลังจะตั้งขึ้นเป็น อ.เซกา แล้วไป พักอยู่บ้านซำบอน ๗ วัน จึงไปบ้านดอนเสียดแล้วขึ้นไปอยู่ที่ถ้ำบูชา บนภูวัว ต่างคนต่างภาวนา สำหรับหลวงปู่อ่อนท่านภาวนาอย่างเดียว ไม่เอาอะไรทั้งนั้น แต่หลวงปู่ยังหายาสมุนไพรไปฝากหลวงปู่อุ่นอยู่
    ที่ถ้ำบูชามีอีเก้ง หมูป่ามาอยู่ด้วยที่หน้าถ้ำ เวลาท่านเดินออกจากที่พัก พวกหมาไนมันจะเห่า เสือก็มี ทุกวันตอนเย็น นกกระต้อยตีวิด ร้องแต้แว้ดๆๆ ไล่เสือไปที่หินก้อนน้ำอ้อย ได้ยินอยู่ทุกวัน แต่มันไม่ได้เข้ามาหา เพียงแต่มา เดินเฉยๆ ที่หน้าถ้ำมีร้อยเท้าของมันปรากฏเต็มไปหมด มีแต่รอยใหญ่ๆ เท่าปากกระโถน เคยมีพระมหานิกาย ที่เคยขึ้นมาภาวนาที่นี่ เล่าให้หลวงปู่ฟังว่ากลางคืนเสือมาร้องเฝ้าอยู่ทั้งคืน พระไม่ได้จำวัดเลย แต่พอหลวงปู่ไปอยู่กลับไม่เคยมา


    lp-pharn-25a.jpg


    อยู่ถ้ำบูชานี้ ตอนเช้าลงไปบิณฑบาตรบ้านดอนเสียดต้องออกตั้งแต่ยังมืด เอาสังฆาฏิไปด้วย ฉันอยู่ข้างล่างเสร็จ แล้วค่อยกลับขึ้นมา ระยะทางไกลมาก ๘ กม. กลับถึงถ้ำก็สาย วันหนึ่ง มีโยมนิมนต์สวดมนต์เย็น พอสวดแล้ว เดินกลับขึ้นไป ใช้ไต้ (รูปร่างคล้ายกระบอง) จุด เพราะไม่มีไฟฉาย ควันไต้เข้าจมูกแสบไปหมด หลวงปู่อ่อน เดินนำ ลูกศิษย์เดินตาม ทางที่เดินเป็นทางเล็กๆ แต่ก็เดินไปได้ไม่กลัวอะไร
    วันหนึ่ง เณรไปเอาไม้มาทำร้าน (แคร่) โดยทิ้งลงมาที่หน้าผาถ้ำบูชา ตกค่ำ ได้ยินเสียงบางอย่างมาทางหน้าถ้ำ เป็นเสียงเหยียบไม้เพียะๆ ซึ่งทุกวันไม่ได้ยิน หลวงปู่เลยบอกว่าให้เงียบๆ เณรนั้นได้ยินเสียงก็เอาก้อนหินขว้างใส่ หลวงปู่จึงดุเณร ปรากฏว่า เมื่อลาหลวงปู่อ่อนลงมาจากภูวัว เณรนั้นมีอาการปวดหัวมาก ลงมาพักบ้านโสกก่าม บ้านโพธิ์หมากแข้ง เณรก็ยังเจ็บมาก จนมาถึงวัด ไม่นานก็หาย พอเดือนใหม่ก็เจ็บอีก คราวนี้เณรเลยตาย หลวงปู่บอกว่า เพราะเณรไปทำผิดในสถานที่นั้น จึงถูกผีตีหัวด้วยกระบอง จากนั้น หลวงปู่กลับมาอยู่ที่วัดป่าบ้านเซือมอีก
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (cont.)
    • พรรษาที่ ๑๑-๒๕ พ.ศ. ๒๕๐๐-๒๕๑๔
    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงปู่ท่านได้รับเลือกให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในการอุปสมบทหมู่ ๒,๕๐๐ รูป เพื่อฉลอง ๒๕ ปีพุทธศตวรรษหรือกึ่งพุทธกาล ครั้งนั้นมีพระอุปัชฌาย์เพียง ๔ รูปเท่านั้น คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี), พระธรรมดิลก (ทองดำ จันทูปโม), พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิโต) และ หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป
    นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ ท่านจำพรรษาที่วัดบ้านเซือมโดยตลอด ระยะนี้เริ่มมีลูกศิษย์ลูกหามาบวชอยู่ด้วย ส่วน ใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่อุ่น ท่านก็ภาวนาไปเรื่อยๆ ภูเขาก็ไม่ได้ไปอีก เพราะจิตมันหยุดแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น ระยะแรกนี้ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักท่าน เพราะท่านยังเป็นพระผู้น้อย ประกอบกับยังมีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่อุ่น อุตตฺโม, หลวงปู่สีลา อิสสฺโร ท่านจึงมีเวลาทำความเพียรได้เต็มที่ ผิดกับปัจจุบันที่ท่านต้องรับแขกทั้งวันไม่มีจำกัดเวลา
    พ.ศ.๒๕๐๒ ท่านกลับไปที่วัดป่าบ้านไผ่ล้อม จ.นครพนม อีก แล้วข้ามน้ำโขงไปอยู่ที่บ้านนาไก่เขี่ย ในประเทศลาว ชาวบ้านเป็นคนไทยโซ่ ไปอยู่ได้ ๒ เดือน เหตุที่ได้ชื่อว่าน่าไก่เขี่ยนั้น เพราะว่า ไก่แก้วโพธิสัตว์เขี่ยหินไว้ ยังมีรอยปรากฏอยู่ที่นาชาวบ้าน จึงได้ชื่อว่า นาไก่เขี่ย อยู่ที่นี่ ท่านว่า ไม่ค่อยน่าอยู่นัก น้ำที่ฉันก็เป็นน้ำจากภูเขาหินปูน ฉันนิดเดียวก็อิ่ม แต่ไม่นานเดี๋ยวหิวอีก วันหนึ่งมีโยมมาหา เขาเรียกหลวงปู่ว่า อาญาธรรม “อาญาธรรม มาขอยา”
    ท่านจึงให้ไปจนหมดย่าม เป็นเพราะฝั่งนั้นเขาขาดแคลนยา เขาจึงมาขอ
    อีกวันหนึ่ง มีโยมผู้หญิงมากราบ สามีของนางป่วยเป็นเปลี้ยเป็นง่อย เขามาขอให้นั่งธรรม (คือนั่งสมาธิดูว่าเป็นอะไร) หลวงปู่ตอบปฏิเสธไปว่าท่านไม่ทำ กลัวจะเป็นบาป เขาก็ยอมกลับไป ตกกลางคืนท่านเกิดความเมตตา จึงลองนั่งสมาธิ อธิษฐานจิตขอดูว่าเหตุที่เขาเป็นเปลี้ยเป็นง่อยนั้นเกิดจากอะไร เมื่อนั่งสมาธิจิตรวมลง ปรากฏท่านไปนั่งอยู่บนเนินเขา เห็นนายพรานไล่ตัวอีเห็นมา มันวิ่งหนีเข้าไปในรู นายพรานจึงอุดรูนั้นไว้ ด้วยกรรมอันนี้จึงทำให้เจ็บแข้งเจ็บขาเป็นเปลี้ยเป็นง่อย
    ท่านจึงถามขึ้นว่า แล้วจะทำบุญด้วยอะไรให้เขา? ปรากฏ เป็นต้นกัลปพฤกษ์ที่ใช้ต้นกล้วยมาทำ แขวนกระดาษ ดินสอ ท่านจึงถามขึ้นอีกว่า หมดหรือยัง? ก็ปรากฏว่ามีคน ๒ คน มีไม้แป้นอยู่ตรงกลาง ทางนั้นขึ้น ทางนี้ลง ทางนั้นลง ทางนี้ขึ้น (แบบไม้กระดกที่เด็กเล่น) จึงถามว่า นี่คืออะไร? ตอบขึ้นว่า คือสร้างเจดีย์ทรายหนักเท่าตัว แล้วถามอีกว่า หมดอีกยัง คราวนี้เงียบ แสดงว่าหมดแล้ว
    เช้าขึ้นมา โยมคนนั้นมา หลวงปู่จึงถามว่า ทำอย่างนั้นจริงหรือไม่ เขารับว่า จริง เขาก็มาทำกัลปพฤกษ์ เจดีย์ทราย ตามที่ท่านบอก
    อยู่ที่นั่นหลายวันจึงกลับมาฝั่งไทยตอนกลางคืนโดยเรือแจว มาพักที่บ้านเวินพระบาท แล้วกลับมาพักที่ภูกระแต บ้านท่าควาย ต่อมาจึงกลับมาอยู่ที่บ้านเซือมอีก
    • พรรษาที่ ๒๖ พ.ศ. ๒๕๑๕
    วัดชัยมงคล อ.บ้านแพง จ.นครพนม


    lp-pharn-29.jpg
    พรรษานี้ท่านไปจำพรรษาที่ อ.บ้านแพง ท่านพาโยมมารดาซึ่งบวชเป็นชีไปด้วย ในพรรษานี้ ท่านเจ็บขามาก เพราะมีหมอมาฉีดยาไม่ถูกวิธี จนมีพระทักว่า “อาจารย์ทำไมจึงผอมอย่างกับแก่ ๘๐ ปี”

    ท่านตอบว่า “ไม่ตายก็ดีแล้ว ผมอายุ ๕๑ ปี แก่มากแล้ว” ท่านทำจิตปล่อยวางรูปสังขารนี้ มันจะตายก็ให้มันตาย คนเกิดมาต้องตาย ไม่ตายวันนี้ ต่อไปมันก็ต้องตาย จะไปห่วงมันทำไม จึงเข้าสมาธิ จิตปล่อยวางทั้งหมด ปรากฏจิตรวม ความเจ็บปวดหายไปหมด ตัวท่านลอยขึ้นไปเหนือเมฆ เห็นมนุษย์เกิดๆ ดับๆ จึงดูการ เกิดการดับของสังขารทั้งหลาย ท่านพิจารณาว่า มนุษย์ทั้งหลายเกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เราจะไม่หลง เราจะต้องออกจากทุกข์ให้ได้
    หลวงปู่ท่านเล่าว่า นับแต่บวชมาไม่เคยคิดจะสึก ไปทำมาหากิน สร้างภพสร้างชาติอีกเลย มุ่งหน้าแต่จะภาวนาให้ออกจากวัฏสงสารให้ได้ การภาวนาของท่านจึงดำเนินไปได้อย่างสะดวก ท่านว่า ถ้ายังไม่แน่ใจ ถอยหน้าถอยหลังอยู่ ก็ยากที่จะภาวนาไปขั้นสูงได้
    • พรรษาที่ ๒๗-๔๘ พ.ศ.๒๕๑๖– ๒๕๓๗
    วัดป่าปทีปปุญญาราม บ้านเซือม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร


    lp-pharn-30.jpg
    หลังจากปี ๒๕๑๕ แล้ว หลวงปู่มาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านเซือมโดยตลอด วันหนึ่ง ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ท่านไป กราบหลวงปู่หลุย จันทสาโร ที่ภูทอก จ.หนองคาย (ขณะนั้นท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มรณภาพแล้ว สมัยท่านยังอยู่หลวงปู่ไปกราบคารวะท่านเกือบทุกปี) หลวงปู่หลุยถามว่า “ท่านคือใคร”
    หลวงปู่ตอบว่า “กระผมชื่อผ่าน”
    หลวงปู่หลุยจึงอุทานว่า “โอ! ท่านผ่าน ท่านยังอยู่หรือ”
    หลวงปู่ตอบว่า “ครับกระผมยังอยู่ กระผมก็เคยพบท่านอาจารย์ แต่คนมากจึงไม่ได้เข้าไปหา กระผมอยากฟังเทศน์ ขอให้ท่านเทศน์ให้ฟัง”

    หลวงปู่หลุยท่านจึงเทศน์ให้ฟัง เรื่อง “ภาวิโต พหุลีกโต” เหมือนที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เคยเทศน์
    พอลงจากภูทอก หลวงปู่มานั่งภาวนาอยู่ข้างล่าง พอจิตรวมลง ปรากฏเห็นต้นไม้ที่ภูทอกนั้นตายหมด ท่านว่า ทำไมเป็นอย่างนี้หนอ? ท่านนั่งอยู่นานจนใกล้ค่ำจึงกลับวัด มาถึงวัด มองต้นไม้ในวัดก็เหมือนต้นไม้นั้นตายหมด จึงไปภาวนาดูว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เมื่อจิตเป็นสมาธิ จึงรู้ขึ้นมาว่า

    “โลกนี้แผ่นดินนี้มีมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ใครมาเกิด อยู่ที่ไหนก็มายึดถือเอาว่าเป็นของเรา ไร่เรา นาเรา ยื้อแย่งกันอยู่อย่างนั้นสัตว์ทั้งหลายในโลกจึงออกจากวัฏสงสารไม่ได้ เราไม่เอาหรอก เราไม่อยู่แล้ว”
    จิตถามว่า “แล้วจะไปอยู่ไหน”
    ตอบว่า “ไปอยู่พระนิพพาน อยู่ที่นี่บาปนะ เราบวชอยู่นี่กินข้าวของชาวบ้านมันบาปนะ พระพุทธเจ้าท่านว่า บุคคลใดบวชแล้วไม่ได้บรรลคุณธรรม กินข้าวของชาวบ้านนั้นกินเหล็กแดงดีกว่า”
    จากนั้นก็ภาวนาเพ่งดูแต่กระดูกนั้น เกิดเสียงขึ้นมาทางหูว่า
    “ให้ถึงสุตธรรม” ท่านจึงพิจารณาดู ได้ความว่า สุตธรรมคือ ผู้สดับธรรมครั้งแรก รู้ขึ้นมาในจิตเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    ทุกข์ คือ ชาติ-ความเกิดเป็นทุกข์ ชรา-ความแก่เป็นทุกข์ มรณะ-ความตายเป็นทุกข์

    สมุทัย คือ ตัวสมมติ มนุษย์ทั้งหลายคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา แข้งเรา ขาเรา ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตนเอง ยึดมั่นถือมั่นใน รูป รส เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ว่าเป็นตัวเราของเรา
    นิโรธ คือ ความรู้แจ้ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วจึงชื่อว่าถึงสุตธรรมเหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ ฟังเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้า พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปจึงได้ดวงตาเห็นธรรมเป็น พระโสดาบัน
    เมื่อหลวงปู่พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว จึงเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวเราของเรา รูปอันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พิจารณาเห็นดังนี้แล้วปรากฏในนิมิตรว่าตัวท่านลอยขึ้นไปๆ มองลงมาแผ่นดินไม่มีบ้านเรือน มีแต่แผ่นดินภูเขา แล้วเห็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เดินมา
    หลวงปู่จึงคิดว่า “เอ! พระอาจารย์มาทำไมหนอ”
    ท่านมาข้างขวาแล้วเตือนว่า “ท่านผ่าน จิตอยู่ในสะกะฯ ยังอยู่ในกามานะ”
    “ครับผม”
    หลวงปู่มั่นเตือนแล้วท่านก็ไป หลวงปู่จึงพิจารณาดู ที่ว่ายังมี กามานะนั้น คือ จิตยังนึกถึงในความใคร่ จิตอันนี้ยังไม่บริสุทธิ์แท้ ละกิเลสได้อย่างหยาบ กิเลสอย่างละเอียดที่เรียกว่า อนุสัย ยังละไม่ได้
    จากนั้นหลวงปู่ก็พิจารณาเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่อยไป คราวนี้ลอยขึ้นไปสูงอีก มองลงมาที่นั่นเห็นแต่มหาสมุทร มองขึ้นไปด้านบนก็เห็นแสงสว่าง ท่านลอยขึ้นจนไปพบถ้ำใหญ่ ภายในถ้ำมีโบสถ์ ท่านคิดว่า จะเข้าหรือไม่เข้าดีหนอ! สุดท้ายยังไม่เข้า ได้ไปนั่งในศาลาหน้าโบสถ์นั้น นั่งพิจารณาแต่กระดูกอย่างเดียว ท่านว่า คือจิตยังไม่แก่กล้า ท่านต้องอบรมให้แก่กล้าขึ้น ให้ถอนอนุสัยกิเลสได้หมดสิ้น
    ที่โบสถ์นั้นมีพระพุทธรูปใหญ่ ซึ่งเทศน์ได้ ท่านเทศน์เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หลวงปู่ท่านก็พิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย (พิจารณาขณะอยู่ในนิมิต) เกิดเห็นว่า
    ในถ้ำนั้นมีมนุษย์ทั้งหลายเดินมา มีทั้งเด็ก หนุ่มสาว คนชรา พากันเดินไปเรื่อยๆ ท่านจึงพิจารณาว่า นี่หนอ เกิดแล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย วนเวียนอยู่อย่างนี้ พิจารณาน้อมลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา น้อมเข้าไปๆ ก็เห็น พวกคนชราตายลง แล้วก็เผา หลวงปู่ก็เพ่งดูอยู่ คนนั้นก็เผาคนนี้ก็เผา มองไปทางไหนมี แต่กองฟอน จึงคิดว่า ตัวเราก็ต้องตายเหมือนกัน แล้วกำหนดเอาไฟเผาตัวท่านเอง หลวงปู่ท่านก็นั่งเพ่งพิจารณาอยู่อย่างนั้นจนจิตถอนออกมา หลวงปู่บอกว่าแม้ทุกวันนี้ท่านก็ยังไปนั่งเผากระดูกแล้วพิจารณาอยู่ที่หน้าโบสถ์นั้นทุกวันๆ ยังไม่ได้เข้าโบสถ์

    ๏ การอาพาธและมรณภาพ
    หลังออกพรรษาปี ๒๕๕๓ ทางวัดป่าปทีปปุญญารามได้กำหนดวันทอดกฐินของปีนั้นในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แต่หลวงปู่ได้เริ่มอาพาธตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายนเป็นต้นมา แต่ท่านยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่วัด จนกระทั่งวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ก่อนวันทอดกฐินเพียงวันเดียว อาการอาพาธของท่านเริ่มหนักขึ้น คณะศิษยานุศิษย์จึงนำท่านเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลจังหวัดสกลนคร โดยคณะแพทย์ได้ทำการตรวจวินิจฉัยโรค และผลปรากฏว่าท่านอาพาธด้วยโรคเนื้องอกในกระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ โดยคณะแพทย์ได้กำหนดทางเลือกในการรักษาไว้ ๒ วิธี คือ
    ๑. ผ่าตัดเอาเนื้องอกออก (จำเป็นต้องตัดอวัยวะภายในบางส่วน)
    ๒. ผ่าตัดโดยใช้กล้องส่องเพื่อจี้ระงับการเจริญเติบโตของชิ้นเนื้อ
    ทางคณะกรรมการวัด และพระอาจารย์สัมพันธ์ ปภัสโร วัดป่าดอนประดู่มงคลทิพย์ปรึกษาหารือกันโดยได้เลือกเอาวิธีที่ ๒
    ภายหลังการผ่าตัด อาการขององค์หลวงปู่มีแต่ทรงกับทรุด ไตหลวงปู่ไม่ตอบสนอง หลวงปู่มีความประสงค์จะกลับไปรักษาตัวที่วัด คณะกรรมการวัดได้ปรึกษาหารือกันจึงได้นำองค์หลวงปู่กลับมาพักรักษาที่วัด ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น.ของวันที่ ๑๗ พ.ย. ๕๓ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ได้สั่งให้แพทย์พยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาความทราบถึง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดรับหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์
    จนเมื่อวันที่ ๒๔ ม.ค. ๒๕๕๔ เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง หลวงปู่ได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบ สิริรวมอายุได้ ๘๙ ปี พรรษา ๖๔
    พิธีพระราชทานเพลิงศพได้จัดขึ้น ณ วัดป่าประทีปปุญญาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ในวันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยพิธีได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๓.๕๐ น. โดยประธานฝ่ายฆราวาส ได้แก่ นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ประธานฝ่ายสงฆ์ ได้แก่ พระราชญาณมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (ธ) โดยพิธีเริ่มขึ้นหลังจาก นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้ว หลวงปู่บุญมา คัมภีร์ธรรมโม เจ้าอาวาสวัดป่าสีห์พนมประชาราม ขึ้นนั่งประจำธรรมาสน์
    ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร จุดเทียนส่องธรรม เสร็จแล้วจึงแสดงพระธรรมเทศนา ให้บรรดาศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ ประมาณ ๑ แสนคน โดยมีพระภิกษุสงฆ์อีกนับหมื่น พระเกจิอาจารย์เดินทางมาร่วมพิธีจำนวนมาก ทำให้รถติดยาวเหยียดกว่า ๕ กม. ในจำนวนนี้ มีนายสมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร นางวิตยา ประสงค์วัฒนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พลตรี สิทธิ จันทร์สมบูรณ์ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสกลนคร พลตำรวจตรี อุดม จำปาจันทร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรสกลนคร รวมอยู่ด้วย
    ต่อมาเวลา ๑๕.๐๐ น. พระสงฆ์ทุกรูป สวดมาติกาเสียงดังกระหึ่มทั่วบริเวณ จากนั้นเจ้าภาพผู้มีจิตศรัทธาทอดผ้าบังสุกุลบนเมรูชั่วคราว และ นายสัมฤทธิ์ พุฒศรี นายอำเภออากาศอำนวย ได้อ่านสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ว่า
    เมื่อความทราบฝ่าละอองพระบาทว่า พระอธิการผ่าน ปัญญาปทีโป มรณภาพด้วยโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ โปรดพระราชทาน พวงมาลาวางหน้าหีบศพ คณะศิษยานุศิษย์ ทายก ทายิกา มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งนี้นับเป็นเกียรติประวัติ และพระกรุณาแก่ พระอธิการผ่าน ปัญญาปทีโป และคณะศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิตและฆราวาสโดยทั่วหน้า คณะศิษย์ทั้งปวง รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
    จากนั้นได้มีการอ่านประวัติ และ นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ประธานในพิธีได้ทอดผ้าบังสุกุล โดยมี พระราชญาณมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร (ธ) เป็นผู้พิจารณาผ้าบังสุกุล ศพของหลวงปู่ผ่าน ถูกบรรจุโนโลงทองเค ประดับตกแต่งบริเวณเมรุชั่วคราว อย่างสวยงาม

    bar-1s.jpg

    ๏ เสาหลักในร่มธรรมแห่งบวรพระพุทธศาสนา
    หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป พระมหาเถระพระป่านักปฏิบัติกรรมฐานอีกรูปหนึ่ง ที่มีศีลาจารวัตรที่งดงามน่าเลื่อมใสศรัทธา เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อีกองค์หนึ่ง เป็นพระสุปฏิปันโนเนื้อนาบุญของชาวโลก เป็นเสาหลักในร่มธรรมแห่งบวรพระพุทธศาสนา แม้สังขารจะเข้าล่วงปีที่ ๘๕ ปี ครบรอบปีที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง ท่านยังได้ออกมาต้อนรับคณะศรัทธาญาติโยมที่เดินทางมาจากแดนใกล้ไกลเป็นจำนวนมาก เพื่อมาคารวะนมัสการทุกวันไม่เว้นมิได้ขาด
    ทุกครั้งที่คณะศรัทธาญาติโยมขอพรขอศีล ท่านจะบอกว่า มีหลักอยู่ ๓ อย่าง คือ “ขออย่าได้เจ็บ อย่าได้ป่วยไข้ และสุดท้ายอย่าลืมหายใจ” ครั้นเมื่อได้สดับตรับฟังหลักธรรมจากท่านแล้ว จะทำให้จิตใจสงบและร่มเย็นเป็นสุข.

    bar-red-lotus-small.jpg
    :- http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography_2/lp-parn/lp-parn-hist-01.htm


     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    "สบอาคมเขมร"อานิสงค์ของการสวดมนต์ สมเด็จโต พรหมรังสี

    VIVECK STATION
    Oct 29, 2019
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ยายชีนวล แสงทอง

    หลวงตา
    Oct 31, 2021
    ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ.ดงตาหวาน อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    nuan-001.jpg
    ประวัติ เรื่องของ ยายชีนวล แสงทอง
    วัดภูฆ้องคำ บ.ดงตาหวาน อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี
    เขียนโดย อำพล เจน

    โพสต์ในเวบ www.ampoljane.com วันพุธที่ ๒๑ มกราคม ๒๐๐๙
    บ่ฮู้..บ่จัก
    เมื่อถูกซักถามเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครูบาอาจารย์รวมทั้งเรื่องที่ไม่ปรารถนาจะตอบ ยายชีนวลมักตัดบทว่า
    “บ่ฮู้-บ่จัก”

    เป็นถ้อยเป็นคำที่ออกจากปากยายชีบ่อยที่สุด
    รูปศัพท์ง่ายๆ ตรงๆ ว่า = ไม่รู้จัก
    แต่จะให้ตรงจริงๆ ในภาษากลางต้องแฝงดัดจริตคือ - ไม่รู้ไม่ชี้
    เมื่อเป็นอีสานทั้งศัพท์สำเนียงความหมายและอารมณ์นั้นกลับจริงจังไม่ดัดจริต
    เรื่องนี้วิจารณ์ได้เพียงผิวเผินว่า นั่นคือคุณลักษณะของนักปฏิบัติที่กำลังนำตนให้หลุดพ้นวัฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด)
    ยุติการยึดติดกับสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรือนาคต ไม่ใยดีอาลัยในสังขารตน รวมไปถึงวัตถุสิ่งของภายนอกที่เป็นสมบัติของโลก

    ดังนั้นเรื่องเล่าทั้งหมดที่เกี่ยวกับความเป็นยายชีจึงเกิดด้วยความยากลำบาก ไร้ข้อมูลที่ชัดเจน ขาดรายละเอียด ที่จะสร้างอรรถรสให้แก่ผู้อ่าน คงอาศัยจากคำบอกเล่าผู้ใกล้ชิด สานุศิษย์ ลูกหลานของยายชี ซึ่งก็เต็มไปด้วยความแผ่วเบา ขาดน้ำหนัก ด้วยว่าทุกคนล้วนอยู่ในภาวะเดียวกัน ต้องเผชิญกับคำว่า
    “บ่ฮู้..บ่จัก”
    เสมือนมีดคมบั่นกระบวนการสนทนาจนขาดสะบั้นในทันที

    ชาติกำเนิด
    nuan-002.jpg
    เกิดวันศุกร์ ไม่ทราบวันที่และเดือน คงอาศัยเค้าจากปีเกิดหลวงปู่สวน วัดนาอุดม (๘ ก.ย. ๒๔๕๓) ด้วยว่าทั้งหลวงปู่สวนและยายชีเกิดปีเดียวกัน ยายชีเป็นน้องแค่เดือน
    เป็นลูกสาวคนโตของนายส่วน แสงทอง กับนางปี๋ ผลทวี, เป็นพี่สาวของน้องหญิงน้องชายอีก ๑๐ คน ซึ่งเสียชีวิตเกือบทั้งหมด ยังคงมีชีวิตอยู่เพียงสองท่านคือยายคำ แสงทอง กับ ป้าอนันต์ แสงทอง
    เป็นศิษย์สำเร็จลุน แห่ง จำปาศักดิ์จริงหรือ?

    เท่าที่ได้เคยสัมผัสและสังเกตเห็นมาโดยตลอด บรรดาผู้ที่เป็นศิษย์สำเร็จลุนอย่างแท้จริง มักไม่นิยมกล่าวถึงครูบาอาจารย์ แม้แต่อวดอ้างเอ่ยชื่อก็ไม่ทำ ทุกคนดำรงตนอย่างเงียบเชียบอยู่ในที่กันดารที่คนเข้าถึงลำบาก โดดเดี่ยวลำพังอย่างนักปฏิบัติพันธ์แท้ ไม่คลุกคลีหมู่คณะ ไม่สะสมวัตถุสมบัติ ไม่ติดอยู่กับที่ ไร้ร่องรอย ไร้เรื่องราว
    ถ้าจะมีเรื่องราวปรากฏมักเป็นคำกล่าวขวัญขานถึงอย่างพิสดารโดยมีพื้นฐานจากความเคารพนับถือ ทำให้เกิดภาคอภินิหารใหญ่โตในภายหลัง ส่วนมากก็หลังจากบรรดาท่านเหล่านั้นละสังขารกันไปแล้ว
    ชั้นหลังๆ ได้ยินเสียงอวดอ้างเอ่ยนามสำเร็จลุนบ่อยๆ ทำนองว่าเป็นศิษย์สายเดียวกัน ป่าวประกาศให้รู้ทั่วไปโดยไม่กระดากใจว่าตนเป็นศิษย์สายนี้ บางรูปอ้างถึงกับว่าตนเป็นลูกศิษย์สายตรงที่ไม่ใช่แค่หลานศิษย์ ครั้นสอบสวนเอาความจริงล้วนโกหกทั้งเพ แค่ปีเกิดของศิษย์จอมปลอมก็ยังไม่ทันชีวิตองค์สำเร็จลุน ใยจึงไม่นึกละอายว่าตนกำลังอมคำโกหกคำโตไว้ในปากตลอดเวลา ยากจะเข้าใจว่าทำกันเช่นนั้นเพื่อผลประโยชน์อย่างใด
    เคยถามยายชีด้วยตนเองว่าครูบาอาจารย์ของยายเป็นใคร
    “บ่ฮู้-บ่จัก”
    “ถ้าไม่มีใครเป็นอาจารย์ ก็เรียนเองรู้เอง”
    “ไม่ใช่อย่างนั้น ครูบาอาจารย์นั้นมีแน่..แต่ยายบ่จำ”
    บ่จำ=ไม่จำ, จำไม่ได้.
    มีดคมอีกเล่มที่หั่นประวัติสำนักศึกษาและอาจารย์ท่าน

    nuan-003.jpg
    เรื่องนี้ทราบจากยายคำ แสงทองผู้เป็นน้องหญิงคนที่ ๔ ของยายชีว่า สมัยยายชียังเยาว์วัย ป่วยเป็นฝีที่คอ รักษาอย่างไรไม่หาย วันหนึ่งมีหมอธรรมมาชี้แนะว่า มีผู้เดียวที่จะรักษาได้ เป็นพระชื่อว่าครูบาลุน อยู่ภูมะโรง เมืองจำปาศักดิ์ อยากจะหายจงเร่งไปหา ด้วยว่าเวลานั้นท่านชราภาพมากแล้ว อย่านิ่งนอนใจ ช้าไปจะไม่ทันการ
    จากตรงนี้นั่นเองจึงเป็นจุดหักเหของชีวิตเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้ดั้นด้นไปจนถึงภูมะโรง
    ว่ากันขณะนั้นยายชีมีอายุได้ ๑๓ ปี บางเสียงว่า ๑๘ ปี
    ถ้าจะวิเคราะห์เอาข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด ประมาณว่ายายชีตอนนั้นควรจะมีอายุระหว่าง ๙-๑๑ ขวบ
    ดูที่ปีมรณภาพของสำเร็จลุนซึ่งมีบันทึกปรากฏชัดเจนคือปี ๒๔๖๔ (ปีระกา เดือน๑๑ เพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาใกล้รุ่ง) เอามาเป็นตัวตั้งแล้วเอาปีเกิดของยายชีคือ ๒๔๕๓ ลบไปก็จะได้ตัวเลข ๑๑ ปี
    ในขณะที่เดินทางไปภูมะโรงนั้น บิดาของยายชีกำลังอยู่ในเพศสมณมาแล้ว ๖ พรรษา น่าเชื่อได้ว่าพระภิกษุส่วน (บิดายายชี) ควรเป็นผู้นำพายายชีไปด้วยตนเอง หรือไม่ก็อาศัยผู้รู้จักหนทางที่ไว้วางใจได้ฝากฝังยายชีให้เขาคนนั้นนำพาไป

    nuan-004.jpg
    ในการเดินทางไปภูมะโรงคราวโน้นเป็นไปได้ว่าน่าจะมีหลวงปู่สวน ฉนฺทโร วัดนาอุดมร่วมเดินทางไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน (บ้านนาทม ต.คำหว้า อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี)
    เมื่อไปถึงภูมะโรงแล้ว ครูบาลุนได้บอกว่าโรคของยายชีจะหายได้ด้วยมโหสถขนานเดียว คือบวชชี รักษาศีลแปด ถือพรหมจรรย์ ซึ่งครูบาลุนได้เป็นผู้บวชให้
    ยายชีนวลเมื่ออยู่รักษาตัวที่ภูมะโรง ก็เหมือนดังว่าหายสาบสูญ ด้วยไม่เคยมีข่าวส่งไปถึงครอบครัวแม้แต่น้อย
    กระทั่งครูบาลุนมรณภาพแล้ว ข่าวคราวของยายชียังคงเงียบหายไปอีกหลายปี จนวันหนึ่งข่าวว่ายายชีถูกงูเหลือมกินก็มาถึงบ้านเกิด ทุกคนที่ทราบข่าวล้วนสลดใจสงสาร พากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตามประเพณี
    ครูบาลุนเป็นใคร?
    ข้อสงสัยที่หวังให้มีผู้คลี่คลายคือ ครูบาลุน กับ สำเร็จลุน เป็นคนเดียวกันหรือไม่
    คาดคั้นเอาความจริงกับยายชี
    คำตอบเก่าๆ
    “บ่ฮู้..บ่จัก”

    lp-tone-hist-27.jpg
    คงมีเพียงพระภิกษุผู้เฒ่ารูปเดียวที่กล่าวรับรองว่ายายชีเป็นศิษย์สำนักครูบาอาจารย์เดียวกันคือสำเร็จลุน
    ภิกษุผู้เฒ่ารูปนี้มีชื่อลือนามว่าหลวงปู่สวน ฉนฺทโร วัดนาอุดม อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี
    คำตอบที่ชัดเจนเพื่อคลายปมกังขาจึงมาอยู่ที่นี่ อยู่ที่หลวงปู่สวน
    น่าแปลกใจอย่างยิ่ง หลวงปู่สวนออกจะให้ความเกรงใจยายชีนวลเป็นพิเศษ
    อาจด้วยเหตุว่า ยายชีนวลนั้นสนิทสนมคบหาสำเร็จตัน ถึงขั้นเรียกหากันว่า “เสี่ยว”
    สำเร็จตันผู้คงด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ อันบรรดาศิษย์อาจารย์เดียวกันยกย่องนับถือ
    เป็นข้อวัตรของสำเร็จลุนหรือไม่
    มองไปที่ หลวงปู่หนุ่ย ปภากโร
    ศิษย์สำเร็จลุนรุ่นราวคราวเดียวกันกับ ปู่ผ้าขาวครุฑ (อาจารย์ของหลวงปู่คำพันธ์)
    ก็เป็นภิกษุสันโดษและโดดเดี่ยวลำพังคนเดียวในป่าดงดิบบนเขาที่เรียกว่าภูพริก (เขต อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลฯ) องค์ท่านดำรงชีพอยู่อย่างเงียบเชียบปราศจากชื่อเสียง ไม่เคยอวดอ้างเอ่ยชื่อครูบาอาจารย์ ถ้าถามจะได้ความเงียบเป็นคำตอบ
    เมื่อหลวงปู่หนุ่ยมรณภาพแล้ว หลวงปู่คำพันธ์ได้เดินทางมานมัสการธาตุอัฐิขององค์ท่านเป็นการส่วนตัว หลวงปู่คำพันธ์เรียกหาองค์ท่านว่าเป็นครูบาอาจารย์ผู้เฒ่า เสมือนปู่ผ้าขาวครุฑผู้ไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน

    nuan-005.jpg
    ร่องรอยเดียวที่ตามรอยได้คือ สถานที่บรรจุอัฐิของท่านทั้งสองที่ยังคงซ่อนอยู่ในป่า จะไปจะมาลำบากเอาเรื่อง ร่องรอยก่อนหน้านั้นมีอันได้สูญหายไปกับกาลเวลา

    หลวงปู่บุญสี ปคุโณ วัดภูนางแก้ว บ.สองคอน อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี มรณะไปแล้วราวๆ ๓๐ กว่าปี เป็นอีกองค์หนึ่งที่ดำรงชีพอยู่อย่างเงียบเชียบไม่กระโตกกระตาก ไม่เอ่ยอ้างตนว่าเป็นศิษย์สำเร็จลุน ไม่ยินดีกับการก่อสร้าง ไม่ออกเหรียญหรือวัตถุมงคลใดๆ สงเคราะห์ให้แก่สานุศิษย์เฉพาะรายเช่นทำตะกรุดให้เท่านั้น
    ทุกรูปทุกนามที่เป็นศิษย์แท้ของสำเร็จลุน มักไม่ไคร่อยู่สถานที่ใดนานเกินควร ธุดงค์ไปทั่ว จนกว่าจะแก่เฒ่าถึงขั้นยากลำบากในการเดินทาง จึงหยุดธุดงค์ สถานที่พำนักบั้นปลายล้วนไกลผู้คน ราวกับซ่อนตัวหลบหลีกหนีอะไรสักอย่าง
    ยายชีนวลก็เช่นกัน เมื่อครูบาลุนมรณภาพและหมดภาระที่สำนักครูบาลุนแล้ว ยายชีในวัยรุ่นสาวกลับมีความองอาจกล้าหาญออกธุดงค์โดดเดี่ยวปานพระหนุ่มๆ สักรูป เดินออกจากจำปาศักดิ์ขึ้นเหนือทะลุเวียงจันทน์ ข้ามโขงมาฝั่งไทยที่เมืองหนองคาย เข้าอุดรธานี ย้อนมาสกลนคร ผ่านธาตุพนม สู่อำเภอเขมราฐ จนกระทั่งถึงบ้านเกิดบ้านนาทม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2023
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    nuan-006.jpg
    ในขณะที่กลับถึงบ้าน ยายชีสาวเต็มตัว อายุได้ ๒๐ กว่าปี เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกหลังจากที่ทุกคนทำความเข้าใจมาตลอดเวลา ๑๐ กว่าปีว่ายายชีนวลเสียชีวิตไปนานแล้ว
    ผู้ที่ประพฤติตนสันโดษเดียวดายเยี่ยงนี้ที่เป็นศิษย์สำเร็จลุนไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ จะเรียกว่าถือข้อวัตรของสำนักหรือได้ไม่ เหตุใดจึงมีพฤติกรรมในการดำรงชีวิตโดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนกันทุกคน

    สึกออกจากการเป็นชี
    พำนักอยู่บ้านเกิดไม่นาน ได้เพื่อนชีสาวอีก ๒ คือแม่ชีเที่ยง (ไม่ทราบนามสกุล)
    กับแม่ชีอีกองค์หนึ่งไม่ทราบชื่อ ชวนกันออกธุดงค์ไปจนถึงภูสามส่วม เขตอำเภอเขมราฐ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ไทร)
    ชีทั้ง ๓ ปักกลดบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขานั้นนานนับ ๑๐ วันจึงเกิดเหตุ
    คืนวันที่ ๑๐ นั่นเอง เสือโคร่ง ๕-๖ ตัวเข้ามาหาชีทั้ง ๓ เสือตัวหนึ่งท่าทางเหมือนจ่าฝูง เข้าใกล้ยายชีนวลที่สุด มันลงนั่งจ้องหน้า ยกฝ่าเท้าข้างหนึ่งด้วยอาการเหมือนจะตะปบเหยื่อ ยายชีนวลก็เอื้อมฝ่ามืออกไปตบเบาๆ ที่หัวเสือจ่าฝูง เสือก็หยุดกึก แล้วหันหลังกลับออกไปจากบริเวณนั้นทั้งหมด
    วันรุ่งขึ้นเพื่อนชีองค์หนึ่งเข้าใจว่าเป็นแม่ชีเที่ยง กลัวเสือที่ปรากฏตัวเมื่อคืนจนถึงกับล้มป่วย ต่อมาไม่นานก็เสียชีวิต
    บิดาของยายชีนวลทราบข่าว ได้ติดตามเอาตัวยายชีกลับบ้านขอร้องให้สึก อ้างเหตุผลไม่มีใครช่วยทำนา ยายชีนวลจึงยอมสึก
    (ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า บิดาของยายชีมีภรรยา ๒ คน ภรรยาคนแรกมีลูกด้วยกันคนเดียวคือยายชี ต่อมาบิดายายชีได้บวชเป็นพระอยู่หลายปีจึงสึกออกมามีภรรยาใหม่ กับภรรยาคนที่ ๒ นี้มีลูกด้วยกัน ๑๐ คน ขณะนั้นบิดามีครอบครัวใหม่แล้ว)

    แต่งงานออกเรือน
    หลังจากที่ได้สึกชีออกมาช่วยงานครอบครัวไม่นาน นายอาจ ผลทวี ได้มาติดพันชอบพอยายชี ออกปากขอแต่งงาน ยายชีไม่ขัดข้องแต่มีข้อแม้ที่ถือเป็นข้อตกลงว่า หากยายชีอยากจะไปวัด หรือไปปฏิบัติธรรมที่ไหน เมื่อไหร่ จะไปทันที ไม่ขออนุญาต ไม่บอกล่วงหน้า และอย่าได้ห้ามเสียให้ยาก นายอาจรับปากตกลง
    ชีวิตหลังแต่งงานยายชีนวลยังประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม คือรักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอด
    มีลูกทั้งหมด ๔ คน ชาย ๒ หญิง ๒
    ลูกๆ ต่างรับรองว่าแม่ (ยายชี) ไม่เคยฆ่าสัตว์ แม้มดหรือยุงก็ละเว้นไม่ล่วงเกินชีวิตสัตว์เหล่านั้น
    ระหว่างมีครอบครัวมีลูกมีเต้า ยายชีไปธุดงค์กับสำเร็จตันบ่อยๆ ออกปฏิบัติธรรมร่วมกัน ในป่าเขาและสถานที่กันดารน่ากลัวแทบทุกแห่ง เรียกว่าไม่เคยลืมความเป็นนักบวช

    ความองอาจกล้าหาญของยายชีไม่ได้เป็นรองสำเร็จตัน
    ดูแค่เพียงการอยู่ในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งภูฆ้องคำตามลำพังคนเดียวก็นับว่าเป็นยิ่งกว่าคำรับรอง
    กลับสู่ผ้าขาวอีกครั้ง

    nuan-007.jpg
    ปี ๒๕๒๒ ขณะมีอายุได้ ๖๙ ปี ยายชีบอกกับนายอาจผู้เป็นสามี รวมทั้งลูกๆว่า
    “จะออกบวชเป็นชีอีก อยากพ้นทุกข์ พ้นวัฏสงสาร”
    แล้วออกจากบ้านหายสาบสูญไปอีก
    ลูกหลานเล่าว่ายายชีเมื่ออกธุดงค์ ไม่เคยพกพาสมบัติเงินทองติดตัว มีแค่ย่ามใบเดียว กับผ้าขาวหุ้มตัวชุดเดียว ไม่มีแม้เอกสารหลักประจำตัว เรียกว่าไปตัวเปล่าจริงๆ
    ราวๆ ปี ๒๕๒๖ จึงได้ข่าวว่ามีสถานที่ ๒ แห่งที่ยายชีปรากฏตัวไปมาบ่อยๆ คือระหว่างถ้ำค้อในเขต อ.โขงเจียมกับวัดดอนม่วง บ.ดอนรังกา อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี
    พอดีกับนายอาจผู้เป็นสามีป่วยหนัก ลูกๆ ตามไปหาแล้วแจ้งอาการป่วยของนายอาจที่ถ้ำค้อ
    แต่ยายชีบอกว่า
    “แม่ไม่ใช่หมอ ถึงไปดูก็ช่วยให้หายป่วยไม่ได้”
    ต่อมาไม่นานนายอาจ ผลทวีผู้สามีก็ถึงแก่กรรม

    ผู้ไร้ร่องรอย
    หลังจากนั้นยายชีก็หายสูญข่าวคราวไปอีก ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน อยู่ที่ใด
    นานๆ ก็โผล่มาเยี่ยมลูก นานๆ ก็หายตัวไป เป็นปกติ
    การติดตามหาตัวยายชีเป็นไปได้ยาก เนื่องจากความไม่อยู่ติดที่ ไม่อยู่ที่ใดนานๆ
    เรื่องนี้มีผู้รับฟังคำอธิบายจากยายชีและสังเกตเห็นข้อเท็จจริงอันนี้
    ที่ใดมีคนเกลียดมากๆ ยายชีจะอยู่นานเป็นพิเศษ
    ที่ใดคนรักนับถือมากๆ ยายชีจะออกจากที่นั่นไปโดยเร็ว
    สถานที่ซึ่งมีคนเกลียด จะอยู่จนกระทั่งคลายทิฏฐิมานะของผู้คนได้สำเร็จ
    เกลียดกลายเป็นรักและนับถือเมื่อไหร่ จะจากไปเมื่อนั้น
    หลายแห่งที่ผู้คนร้องไห้อาลัย อ้อนวอนให้อยู่ต่อไป ยายชีก็จะบอกธรรม ๑ ข้อ

    “อนิจจังไม่เที่ยง มีพบก็มีพราก”
    ปี ๒๕๓๔ ยายชีนวลปรากฏตัวที่ วัดภูน้อย (บ.น้ำวุ้น ต.แก่งเค็ง อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี) ซึ่งยายชีเคยมาร่วมสร้างเอาไว้กับพระอาจารย์หมุนพร้อมด้วยชาวบ้านญาติโยม
    การย้อนกลับมาครั้งนี้ทำความสลดใจให้ยายชีเป็นอันมาก ด้วยวัดอยู่สภาพรกร้างเสื่อมโทรม เป็นเหตุให้เกิดสังเวชสงสารญาติโยมที่เขามีศรัทธาร่วมสร้างถวาย แต่กลับไม่มีพระเณรอยู่อาศัย ทั้งไม่มีใครดูแลรักษา จึงตัดสินใจพำนักอยู่ที่นั่นตามลำพังคนเดียว
    ชาวบ้านเล่าว่ายายชีมาอยู่วัดภูน้อยสมัยแรกนั้น ไม่ค่อยมีใครได้เห็นตัว นานๆ จะเห็นลงจากเขามาบิณฑบาตที
    เรื่องนี้ยายชีได้กรุณาอธิบายให้ฟังในภายหลังว่า
    “สงสารชาวบ้าน ลำพังการหาอยู่หากินก็ลำบากพอ ไม่อยากรบกวนเขามากเกินไป ได้อาหารเขาแล้วก็เว้นเสียบ้าง หาเก็บใบไม้มาหั่นกินเอาพอบรรเทาหิว ก็พออยู่ได้หรอก”
    (หั่นใบไม้กิน-ในความหมายของอีสาน บางคนว่าเสกใบไม้กิน)
    เบื้องต้นพวกชาวบ้านต่างพากันสงสัยว่ายายชีรูปนี้มาอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร ลูกเต้าอยู่ไหน เป็นผีเป็นปอบหรือไม่ ใยจึงมาหลบซ่อนตัวอยู่ในวัดร้างบนเขาเช่นนี้ นานไปชาวบ้านจึงเริ่มรู้จักและเข้าใจ
    หลังจากนั้นข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์ ด้วยว่าผู้คนพากันหลั่งไหลเข้าไป
    วัดร้างก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งเพียงเวลาไม่นานปี
    ทั้งพระทั้งโยมจากทางใกล้ทางไกล เดินทางมาร่วมบุญบูรณะวัด ทั้งปฏิบัติและสนทนาธรรมกับยายชีจนเป็นที่เลื่องลือ ต่างอัศจรรย์ใจในตัวยายชีที่เป็นหญิงชราปานนี้ยังมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดน่าเลื่อมใส ถึงกับว่ามีพระหลายรูปมาฝากตัวเป็นศิษย์ ซึ่งยายชีได้กราบเรียนตอบพระเหล่านั้นอย่างนอบน้อมถ่อมตนเสมอ
    “สิบข้าน้อยฮู้ บ่ถ่ออาจารย์หลง”
    หมายความว่า - ความรู้ที่ยายชีมีนั้นจะมากแค่ไหน ก็ไม่เท่าความรู้ที่ท่านอาจารย์หลง(ลืม)

    ที่พักพิงสุดท้าย-ภูฆ้องคำ


    nuan-008.jpg
    ถึงปี ๒๕๓๙ วัดภูน้อยมีไฟฟ้าและน้ำใช้สะดวกดีแล้ว มีพระเณรอยู่ประจำ มีชาวบ้านศรัทธาค้ำจุนแน่นหนาแล้ว ยายชีนวลก็อำลาท่ามกลางความอาลัยของทุกคน ยายชีนวลมุ่งหน้าสู่ภูฆ้องคำ บ.ดงตาหวาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดภูน้อย
    เพียงเป็นเขาคนละลูก หมู่บ้านคนละหมู่
    ภูฆ้องคำเวลานั้นเป็นที่พักสงฆ์รกร้างเช่นเดียวกับภูน้อย มีกุฏิถูกไฟไหม้อยู่หลังเดียว ยังไม่มีศาลา ไม่มีห้องสุขา กันดาร แห้งแล้ง ไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้ ไม่มีแม้กระทั่งทางเข้าถึงโดยสะดวก อาศัยชาวบ้านช่วยกันเบิกทางให้ พอได้สัญจรไปมา ในเบื้องแรกยายชีต้องปักกลดอาศัยอยู่ไปก่อน โดยมีชาวบ้านช่วยกันส่งข้าวน้ำให้พอประทังชีวิต
    ไม่นานภูฆ้องคำก็ฟื้นคืนสภาพ ชาวบ้านดงตาหวานและจากทุกสารทิศ ทั้งทางใกล้ทางไกลต่างร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างศาลา๑หลัง กุฏิ ๖ หลัง ห้องน้ำห้องสุขา ๕ ห้อง ทั้งยังสร้างเจดีย์เล็กๆ บนยอดเขา รวมทั้งพระประธานองค์ใหญ่ไว้ด้วย
    ยายชีนวลพำนักอยู่ภูฆ้องตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ตามลำพังคนเดียว ไม่มีพระเณรอยู่ประจำ ถ้ามีก็แค่อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว สุดท้ายยังเป็นยายชีอยู่อย่างถาวร
    ค่อนข้างแน่ใจว่าที่นี่คือสถานที่พักพิงสุดท้ายของยายชี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2021
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    ยายชีผู้ทรงค่าควรแก่การเลื่อมใส
    ยังมีท่านผู้หนึ่งซึ่งถือว่าใกล้ชิดและรู้ต้นปลายของยายชีในช่วงบั้นปลายชีวิตค่อนข้างดี ท่านผู้นี้ชื่อว่าประสิทธิ ไม่ทราบนามสกุล เป็นชาวบ้านดงตาหวานรุ่นเก่าได้กรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้เห็นและรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ
    ปี ๒๕๓๘ คุณประสิทธิได้รู้จักยายชีนวลเป็นครั้งแรกโดยไม่ตั้งใจ
    วันนั้นมีงานบุญทอดกฐินสามัคคีที่วัดภูน้อย คุณประสิทธิผู้เคยบวชและสนใจปฏิบัติธรรมมาก่อนจึงพอเข้าใจและรู้จักเรื่องพระเณรหรือเรื่องของนักปฏิบัติ ได้พิจารณาสังเกตดูพระเณรหรือใครต่อใครที่มาร่วมงานบุญจนเห็นยายชีแก่ๆองค์หนึ่งนั่งสำรวมเรียบร้อย ดูสงบ ทรงพลังน่าเลื่อมใส
    เหตุที่สะดุดตาและใจก็ด้วยว่ายายชีองค์นี้ไม่รับอาหารเพล จึงเข้าไปสอบถาม ได้ความว่าท่านกินมื้อเดียว
    หลังจากนั้นได้สนทนากับท่านจนเกิดความนิยมนับถือ ทำให้ได้ทราบว่ายายชีนี่เองที่เป็นหัวใจในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดภูน้อย สิ่งใดขัดสนกันดาร ยายชีเป็นกำลังสำคัญจัดหาสิ่งขาดแคลนจนมีครบสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า น้ำดื่ม น้ำใช้ กุฏิ ศาลา ห้องน้ำ ห้องสุขา ยายชีเป็นธุระจัดหาให้หมด เกิดความสะดวกสบายแก่ผู้อาศัยทุกคน
    โดยส่วนตัวของยายชีนวลมีอารมณ์เป็นสมาธิตลอดเวลา ตกกลางคืนบำเพ็ญเพียรภาวนา พิจารณาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าเราเขาล้วนร่วงโรยเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้
    วันหนึ่งยายชีเล่าให้คุณประสิทธิฟังว่า เมื่อคืนเกิดนิมิตเห็นบุรุษผู้หนึ่งสรวมหมวกขี่ม้าหยุดตรงหน้า ยื่นกะลามะพร้าวใส่เกลือให้ กำชับว่าเก็บไว้ให้ดี นิมิตนี้มีความหมายอย่างไร ยายชีได้อธิบายว่านี่เป็นปริศนาธรรมที่เทวดามาส่งให้ มะพร้าวหมายถึงให้ “ฟ้าวเฮ็ดฟ้าวทำ” (รีบปฏิบัติ รีบทำ), เกลือหมายถึงความอดทนพากเพียรรักษาการประพฤติปฏิบัติให้มั่นคงดุจเกลือรักษาความเค็ม
    ปกติยายชีเป็นผู้สม่ำเสมอในการบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่แล้ว พอนิมิตนี้ปรากฏ ท่านเร่งความเพียรเป็นทวี เกิดปิติสุข อิ่มเอิบอยู่กับผลของความเพียรอย่างบอกไม่ถูก
    ต่อมาบุรุษเดิมมาปรากฏตัวในนิมิตอีก คราวนี้มอบใบตองแห้งห่อเกลือให้ ความหมายคือให้รักษาผลของการประพฤติปฏิบัติที่เกิดขึ้นแล้วไว้ต่อไป เหมือนใบตองรักษาเกลือเอาไว้ไม่ให้หกหล่นเรี่ยราดเสียหาย
    ยายชีบอกว่าท่านได้เก็บปริศนาธรรมนี้ไว้สอนใจและเตือนใจท่านไว้ตลอด
    ปี ๒๕๓๙ ยายชีออกจากภูน้อยมาอยู่ภูฆ้องคำ ที่นี่คุณประสิทธิเห็นแปลกว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ ภูมิเทวดาเจ้าที่แรงกล้า ไม่เคยมีพระรูปไหนอยู่ได้เกินพรรษา ถ้าไม่เจ็บป่วยก็มักร้อนรนจนอยู่ไม่ได้ต้องหนีไป เป็นเหตุให้ภูน้อยเป็นวัดร้างตลอดมา
    พื้นที่แถบนี้คือที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆชื่อบ้านดงตาหวาน อยู่กลางป่า กันดาร ความเป็นอยู่แสนยากลำบาก
    ระยะแรกของการตั้งหมู่บ้านนี้ชาวบ้านประสพภาวะป่วยไข้ด้วยมาเลเรีย ล้มตายไปเยอะ ไกลโรงพยาบาล ไม่มีถนนหนทางสะดวกพอจะนำคนป่วยส่งหมอ เป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องพึ่งตนเอง ศึกษาหาความรู้ที่จะสู้กับมาเลเรีย คุณประสิทธิเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของการปราบมาเลเรีย
    ดังนั้นคุณประสิทธิจึงไม่กังวลใจกับเรื่องมาเลเรียแม้แต่น้อย ใครป่วยไข้มาหา คุณประสิทธิรักษาได้หมด ทั้งฉีดทั้งกินยาไม่มีปัญหา
    ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าหากพระที่พำนักอยู่ภูฆ้องคำอาพาธด้วยมาเลเรีย ยาที่คุณประสิทธิเคยใช้รักษาชาวบ้านจนหาย กลับไม่สามารถรักษาพระในภูฆ้องคำได้ องค์แล้วองค์เล่าที่เข้ามาอยู่ที่นี่ คุณประสิทธิหมดหนทางรักษา
    แปลกที่ว่าทุกองค์ที่อาพาธนั้นเมื่อออกจากภูฆ้องคำไปแล้วเป็นอันหายจากมาเลเรียทุกองค์ เหตุนี้จึงไม่มีพระรูปใดจำพรรษาที่นี่ได้ตลอดรอดฝั่ง
    จนกระทั่งยายชีนวลมาถึง มาเลเรียก็เบาบางลงไป
    ระหว่างที่ยายชีพำนักอยู่ที่ภูฆ้องคำ หากมีพระรูปใดมาขออยู่ด้วย แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มีความเพียรในการภาวนาจะไม่อาพาธเจ็บป่วยเลย
    คุณประสิทธิจึงเชื่อมั่นว่าภูฆ้องคำต้องเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่ง

    ดับไฟป่า
    คุณประสิทธิเล่าว่าทีแรกยังไม่ถึงกับเชื่อถือในคุณวิเศษว่ามีจริงในตัวยายชี แค่เลื่อมใสในความเป็นนักปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดเหตุที่ทำให้ต้องเชื่อขึ้นมาในวันหนึ่ง
    เรื่องนี้คุณประสิทธิให้คำรับรองว่าอยู่ในเหตุการณ์ได้รู้ได้เห็นด้วยตาตนเองเอง
    ประมาณหน้าแล้งปี ๒๕๔๑ เกิดไฟป่าไหม้จากนอกวัดภูฆ้องคำลามเข้ามาหากุฏิยายชีอย่างน่ากลัว รอบๆ วัดคือป่าต้นเลาและหญ้าคาแห้งบนพื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ไฟจึงลามไหม้อย่างรวดเร็วรุนแรง เกิดเปลวไฟสูง ๔-๕ เมตร ลมแรงโหมกระพือไฟเข้าใส่ คุณประสิทธิเชื่อว่าไฟนรกคงเหมือนไฟป่าหนนี้ มีทั้งเสียงลม เสียงฮือๆ ครืนของไฟที่เกิดมาไม่เคยพบเห็นว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้
    ลูกศิษย์ ๒ คนที่เป็นชาวบ้านแถวนั้นวิ่งเข้ามาวัดเพื่อจะช่วยขนข้าวของออกจากกุฏิยายชีหนีให้พ้นไฟ
    ยายชีบอกว่า
    “ไม่ต้องขน, ไฟมันรู้จักว่าถ้าไหม้กุฏิ เราจะไม่มีที่อยู่, ไฟจะไม่ไหม้กุฏิเรา”
    ยายชีบอกให้ลูกศิษย์คนหนึ่งตักน้ำใส่ครุถังเอาไปวางขวางไฟไว้ ประมาณว่าห่างจากกุฏิ ๓ เมตร
    ไฟที่เหมือนไฟนรกมอดดับลงอย่างรวดเร็ว

    คำสอนง่าย
    ส่วนใหญ่ญาติโยมสานุศิษย์ที่เดินทางมาขอข้อธรรมเพื่อนำไปปฏิบัติมักกล่าวตรงกันว่ายายชีเน้นศีล ๕ เป็นหลัก
    “การปฏิบัติธรรม การรักษาศีล ผู้อื่นทำแทนไม่ได้ ต้องทำเอาเอง แค่ศีล ๕ ก็พอเพียงสำหรับคฤหัสถ์ ให้รักษาไว้กับตัวกับใจ ทำอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทำที่นี่ ศีล ๕ นั้นประเสริฐสุด”
    บางครั้งก็อบรมว่า
    “ถ้าเราปฏิบัติหรือรักษาศีลไม่ได้ อย่ารับศีลเลย อย่าโกหกพระเลย”
    เรื่องศีล ๕ เรารู้จักกันแล้วว่าเป็นศีลที่คฤหัสถ์ปฏิบัติได้ เป็นศีลที่ปิดประตูนรกอบายภูมิ
    หลวงปู่ทองสาเคยบอกว่า

    “เป็นคฤหัสถ์ก็บวชได้ รักษาศีล ๕ ตลอดชีวิตก็เหมือนบวช
    ไม่ต้องอดอาหารมื้อเย็น มีผัวมีเมียได้ ครองบ้านครองเรือนได้เป็นปกติ
    รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ มรรคผลนิพพานได้เหมือนกัน”

    เหตุที่เจ็บป่วยแล้วไม่ไปหาหมอ
    สมัยที่ยังธุดงค์ไปทั่ว หาตัวเจอยาก แต่ยายชีมักไปปรากฏตัวกับลูกสาวคนเล็กที่ จ.อำนาจเจริญ
    ครั้งหนึ่งราวๆ ปี ๒๕๒๗ ยายชีถูกหนามตำเท้า อักเสบกลัดหนอง เจ็บปวดทรมานไม่ใช่เล่น ยายชีไปหาลูกสาวคนนี้เพื่อจะหายาบรรเทาทุกขเวทนา ลูกสาวเห็นว่าหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะรักษากันเอง จำเป็นต้องถึงมือหมอ แต่จะทำอย่างไรดี ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าแม่ (ยายชี) ไม่ยอมหาหมอ จึงโกหกว่าจะพาไปซื้อยาที่ร้านยาในตัวเมือง
    “ทำไมแม่ต้องไปด้วยล่ะ”
    “ถ้าไม่ไปให้เขาเห็นแผล เขาจะจัดยาให้ถูกต้องได้ยังไง”
    ยายชีจึงยอมไป
    พอไปเข้าจริงๆ กลายเป็นถึงมือหมอที่คลินิกไม่ใช่ร้านขายยา
    ผลตรวจคือนอกจากจะอักเสบกลัดหนองแล้ว กระดูกเท้ายังแตกอีกด้วย ต้องผ่าตัดจึงหาย ลูกสาวนำตัวยายชีไปโรงพยาบาลโดยไม่บอกให้ทราบว่าจะไปไหน ถึงโรงพยาบาลก็ส่งตัวยายชีให้หมออย่างรวดเร็ว เรียกว่ามัดมือชก หรือผีถึงป่าช้าต้องฝัง ยายชีแม้ไม่ยอมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หลังจากหายเป็นปกติแล้วยายชีได้บอกว่า
    “ความเจ็บไข้ที่เกิดกับเรามันเนื่องมาแต่กรรม ไม่ว่าหมอหรือเราก็ต้องตายเหมือนกัน”

    งูกัดก็ต้องภาวนาตาย
    เมื่อปีที่แล้วยายชีถูกงูเห่ากัด
    ก่อนถูกงูเห่ากัด ฝันว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลอยมา พอรุ่งขึ้นก็ทำกิจวัตรตามปกติ หุงหาอาหารกินเอง ถ้าแข็งแรงดีอยู่จะไม่ยอมให้ใครทำอาหาร จะต้องทำเองกินเอง ยายชีกินเนื้อสัตว์เพียงแต่น้อย ถ้าใส่หมูก็เรียกว่าใส่วิญญาณหมู เน้นผักเป็นส่วนใหญ่
    หลังกินอาหารแล้วนั่งพักผ่อนอยู่ รู้สึกเจ็บแปลบที่เท้า เห็นงูเห่าอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ค่อยๆ หมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็เข้ากุฏิปิดประตูเงียบไม่ออกมาตลอดวันและคืน ไม่ยอมให้ใครพาไปหาหมอ คงตั้งใจภาวนาตายอย่างนักปฏิบัติ
    เช้าวันรุ่งขึ้นยายชีก็ไม่ตาย หนำซ้ำแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วเป็นพิเศษ ภายหลังยายชีได้บอกว่า งูที่กัดนั้นไม่ใช่งู แต่เป็นพญากรรม

    ประสบการณ์จริงของยายชีนวลกับพญานาคถ้ำแกลบ
    เมื่อพูดถึงงูเห่ากัดยายชีทำให้นึกเรื่องพญานาคถ้ำแกลบ อยู่ในเขตอำเภอนิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร
    เรื่องมีอยู่ว่ายายชีธุดงค์ผ่านไปแถวนั้น คะเนว่าอายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปี คงเพิ่งออกจากภูมะโรงแล้วเดินทางมาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่ ทราบว่ามีถ้ำชื่อแกลบ คนเขากลัวกันมาก ก็แสดงความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมในถ้ำนั้น
    มูลเหตุที่ชาวบ้านกลัวคือ มักมีคนเห็นงูยักษ์เลื้อยเข้าออกถ้ำแกลบบ่อยๆ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปหาของป่าหรือเฉียดกรายเข้าใกล้บริเวณนั้น
    เมื่อยายชี (สาว) ตั้งใจจะเข้าไป ก็พากันห้ามปราม แต่ไม่สำเร็จ ยายชียังยืนกรานจะไปเช่นเดิม ชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้าไปส่ง แค่บอกทางให้ ต่อจากนั้นยายชีก็เดินเท้าเข้าไปด้วยตนเอง
    หลังจากนั้นยายชีก็หายสูญไปนานนับเดือน ไม่เคยลงมาหมู่บ้านบิณฑบาต ชาวบ้านก็วิตกวิจารณ์กันว่าน่ากลัวยายชีนวลจะไม่รอด คงเสียชีวิตไปแล้ว ในที่สุดชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้กล้ารวมตัวกันขึ้นมาประมาณ๑๐คน จะลองขึ้นภูเขาเข้าไปที่ถ้ำแกลบเพื่อดูว่ายายชี (สาว) เป็นตายร้ายดีประการใด เมื่อไปถึงทุกคนตกตลึงกับภาพที่เห็นแต่ไกล
    งูมีหงอนสีแดงลำตัวสีขาวขนาดใหญ่รัดรอบตัวยายชีจนมิด
    เห็นแค่ใบหน้าที่หลับตาพริ้มสงบ ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็เผ่นแน่บกลับลงมาหมู่บ้าน ป่าวประกาศไปว่ายายชีตายแล้ว ถูกงูยักษ์กิน
    (เหตุการณ์นี้น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นต้นเค้าของข่าวที่มีไปถึงบ้านเกิดของยายชีว่าถูกงูเหลือมกิน)
    หลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านก็ถึงตกตะลึงกันอีกครั้งเมื่อเห็นยายชีนวลลงจากเขามาปรากฏตัวในหมู่บ้าน ยายชีได้บอกกับชาวบ้านว่า
    “ไม่ต้องกลัวท่านพญานาคนั่นหรอก ท่านเป็นพญานาคมีศีล ขอเพียงให้ชาวบ้านที่เข้าไปหาของกินของอยากแถวถ้ำนั้นเอ่ยชื่อพญานาคคำขาว ทุกคนจะปลอดภัยไม่มีอันตราย "
    ทุกวันนี้ชาวบ้านรุ่นเก่าที่ยังมีชีวิตอยู่ยังจดจำเหตุการณ์นี้ได้ และเล่าสืบต่อกันมาจนวันนี้
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    เท้าไม่ติดพื้น
    แม้น ว่าภูฆ้องคำจะอยู่ไกล กันดาร แต่สานุศิษย์ ผู้เลื่อมใสศรัทธา ก็หลั่งไหลมาไม่ได้ขาด ทั้งทหาร ตำรวจ ชาวบ้านหรือแม้แต่พระเณร ต่างก็มาด้วยเชื่อมั่นในวัตรปฏิบัติของยายชีว่าควรค่าแก่การมาสักการะและ ปรึกษาข้อธรรม
    พระอาจารย์หน่อย (ไม่ทราบชื่อ ฉายา) เจ้าอาวาสวัดบ้านยาง อ.ดอนมดแดง จ.อุบลฯ เล่าว่า เคยเห็นยายชีเดินจงกรมโดยที่เท้าไม่ติดพื้น
    เกิดความอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก

    มาเพื่อชดใช้หนี้
    พูดถึงกำลังสำคัญในการพัฒนาวัด ต้องกล่าวถึงพระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งมาสู่ภูฆ้องคำยุคแรก
    ท่านคือพระอาจารย์อ้อด (อริศร ปญฺโญ) ที่อยู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่วัดภูฆ้องคำโดยไม่มีผู้ใดรู้ล่วงหน้า
    ท่านบอกแปลกๆ ว่าตั้งใจมาหายายชีเพื่อใช้หนี้
    ท่านได้กรุณาเล่าว่า สมัยภูหินร่องกล้ายังรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างรัฐบาลกับคอมมิวนิสต์ ท่านและพระอีก ๒ รูปธุดงค์ไปพำนักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนภูหินร่องกล้า เกิดการรบอยู่บริเวณถ้ำนั้นพอดี ต้องหลบซ่อนอยู่ในถ้ำหลายวัน อดอาหารและน้ำอยู่ ๙ วัน ออกจากถ้ำไม่ได้ มีเสียงระเบิด เสียงปืนดังอยู่ตลอดเวลา ควันจากอาวุธพวยพุ่งเข้าถ้ำจนหายใจแทบไม่ออก นึกว่าคงไม่รอดกันแล้ว
    ในขณะที่ตาพร่ามัวด้วยควันเข้าตา เห็นยายชีลอยเข้ามาตามกลุ่มควันนั้นแล้วพูดว่า
    “ข้าน้อยขอโอกาส..ถ้าหากจะออกจากถ้ำนี้โดยปลอดภัยขอให้พระอาจารย์ภาวนาคาถานี้”
    ยายชีบอกคาถาแล้วก็หายไป
    หลังจากท่องคาถาแล้วพวกท่านสามารถออกจากถ้ำ ผ่านดงปืนและระเบิดมาได้อย่างปลอดภัย
    ภายหลังทราบว่ายายชีมาอยู่ที่ภูฆ้องคำ กำลังบุกเบิกสถานที่ เห็นเป็นโอกาสจะมาใช้หนี้ชีวิตจึงมาช่วยเป็นกำลังก่อสร้างให้
    ยายชีเป็นกำลังเงิน ด้วยว่าเงินจากญาติโยมจะตรงมาที่ยาย
    ท่านเป็นกำลังงาน ลงมือทำงานก่อสร้างอย่างเดียว
    ยายชีไม่ถือเงินหรือเก็บเงิน เมื่อมีศรัทธามาถวายก็มอบเงินให้พระอาจารย์อ้อดเป็นผู้เก็บรักษา ไม่ว่าจะ ๑๐ บาท ๒๐ บาทก็ตาม พระอาจารย์ก็จะเก็บเงินรวบรวมไว้จนครบค่าวัสดุ เช่นครบค่าปูน ๑ กระสอบก็ให้ชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อปูนมา
    การก่อสร้างที่สำคัญที่ท่านลงแรงไว้คือบันไดขึ้นภูเขา ทำทีละขั้นไปเรื่อยๆ จนแล้วเสร็จ

    nuan-009.jpg
    กำลังจะทำฐานพระประธานบนเขาต่อ ยายชีก็มานิมนต์ให้พระอาจารย์อ้อดกลับไป
    “ฐานพระประธานยังไม่เสร็จ องค์พระประธานยังไม่สร้างจะให้กลับทำไม”
    “บ้านเมืองกำลังจะวุ่นวายเดือดร้อน อาจารย์กลับไปเถอะ ไปหาที่บำเพ็ญภาวนาตามป่าตามเขาช่วยบ้านเมือง”
    “อาตมาเป็นพระผู้น้อย ไม่เก่งกล้าสามารถขนาดนั้น”
    “ไปเถอะไปภาวนาช่วยกัน”
    พระอาจารย์อ้อดเล่าว่า ยายชีวนเวียนนิมนต์ให้ท่านไปหลายรอบหลายครั้งจนในที่สุดท่านจึงรับนิมนต์เดินทางกลับนครพนม
    เรื่องนี้น่าคิดไม่น้อย เมื่อวันที่ ๓๐ พ.ย.๕๑ ยายชีทำพิธีบังสุกุลประเทศ ทำให้ทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าเหลืองหรือแดงหรือประชาชนทั่วไป ท่านว่าพิธีนี้จะช่วยบรรเทาความวุ่นวายบ้านเมืองได้ระดับหนึ่ง ผู้ที่ตายไปแล้วก็จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศล ผู้ที่ยังไม่ตายก็จะปลอดภัยเป็นสุข ซึ่งในพิธีนี้ได้นำรายชื่อสมาชิกเว็บสวนขลังและเว็บอำพล เจนเข้ารับการสวดแผ่เมตตาเป็นกรณีพิเศษไปแล้ว ไม่ทราบว่าปรากฏผลอย่างไร
    มีที่น่าสนใจอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง ส่วนตัวของยายชีนั้น ท่านได้จดรายละเอียดของสัตว์ทุกชนิดที่ตายอยู่ในวัดตลอดมาจนถึงวันพิธี ไม่ว่าจะเป็นงู ตะขาบ กิ้งก่า มด ปลวก จิ้งจก หรือแม้แต่ไส้เดือน ท่านจดไว้หมด แล้วนำเข้าพิธีด้วย

    มาเอาวิชากับคาถาอาคม
    เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสยายชีในช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ปีมานี้ เห็นว่าผู้ที่มาหายายชีถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปมักมาพึ่งพาอาศัยขอให้ช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องต้องใช้ศาสตร์วิชา ยายชีก็สงเคราะห์ให้เป็นรายๆ อีกส่วนหนึ่งมาเพื่ออยากได้วิชา ซึ่งส่วนนี้มักไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม
    แต่เป็นพวกที่หวังได้คาถาศักดิ์สิทธิ์ไปทำประโยชน์ตน ยายชีมักปฏิเสธไปว่า
    “ข้อยบ่ฮู้ บ่จัก อีหยังสักอย่าง หนังสือก็ไม่ได้เรียน เรื่องนี้ถ้าบุญของพวกเจ้าเคยสร้าง มันจะมาเองรู้เองดอก”
    เรื่องศาสตร์วิชาแปลกๆของยายชี เคยได้ยินผู้ใกล้ชิดยายชีเล่าว่า สมัยก่อนท่านมีวิชาหนูกับแมว ทำเป็นน้ำมันขึ้นมา เอาไปป้ายหนูกับแมวแล้วมันจะไม่กัดกัน ขังไว้ในกรงเดียวกันก็ไม่ทำร้ายกัน คงจะคล้ายๆ กับที่อาจารย์ชุม ไชยคีรีเคยทำไว้แต่ต้นเค้าวิชาไม่ทราบมาทางเดียวกันหรือเปล่า


    nuan-010.jpg
    เดี๋ยวนี้ยายชีเลิกไม่ทำอีกแล้ว เข้าใจว่าตั้งแต่รู้จักกราบไหว้หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เรื่องวิชาคาถาอาคมจึงเพลาๆ ลงไป หันมาตั้งใจปฏิบัติจิตทำเพียรภาวนาแทน


    ถ้าเอ่ยชื่อหลวงพ่อชาให้ยายชีได้ยินเมื่อไหร่ ยกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อนั้น ยึดถือว่าเป็นครูบาอาจารย์สำคัญอีกองค์หนึ่ง


    ในส่วนที่เป็นของขลังเท่าที่เห็นยายชีทำแจกให้ญาติโยมนั้นเป็นรังไหม ข้าพเจ้าเคยได้รับและยังเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่ทราบว่ารังไหมนั้นมีคุณอย่างไร ด้วยไม่เคยถาม แว่วๆเป็นเลาๆว่าเอาไว้คุ้มตัว รักษาตน เหมือนตัวไหมมีรังเป็นเปลือกหุ้มคุ้มภัย
    อีกอย่างหนึ่งที่ท่านชอบแจกให้ผู้ใกล้ชิด คือแป้งหอม และ น้ำอบไทย แล้วให้คาถาไปสวดภาวนากำกับ ข้าพเจ้าเคยได้รับแต่จำคาถาไม่ได้จึงไม่เคยใช้ แต่รับรองได้ว่ายายชีนี้ไม่ธรรมดา
    เหมือนที่หลวงปู่คำพันธ์ได้อุทานขึ้นเมื่อเห็นยายชีครั้งแรกที่วัดธาตุมหาชัย นครพนม
    “ยายชีนี่ไม่ธรรมดา วิชามีอยู่เต็มตัว”

    ปัจจุบันกาล
    ขณะนี้ (ธ.ค.๒๕๕๑) ยายชีนวลอายุได้ ๙๘ ปี สังขารเสื่อมโทรมตามกาลเวลา เรี่ยวแรงหดหายไปสิ้น จะลุกนั่งเดินเหินลำบาก ความป่วยไข้รุมเร้าอย่างแสนสาหัส
    บางครั้งคล้ายหมดลมหายใจไป แต่ก็ยังกลับคืนมาหายใจได้
    ยายชีบอกว่า

    “นักปฏิบัติมักเป็นเช่นนี้ เรื่องของกรรมของแต่ละคน”
    ยายชีนวลไม่เคยแสดงอาการหวั่นไหวอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น ที่ได้เห็นกันคือความองอาจกล้าหาญ ไม่สร้างความหนักใจแก่ผู้ปรนนิบัติดูแล นั่งนอนยืนเดินอยู่ในองค์ภาวนาตลอดเวลา
    นั่นคือการสอนศิษย์เทอมสุดท้าย สอนให้ทุกคนเห็นกับตาด้วยบทแห่งอนิจจัง


    ของขลังล่าสุด nuan-014.jpg


    นอกจากพระกามเทพที่ข้าพเจ้าสร้างไว้เพียงจำนวนเล็กน้อยแล้ว ยายชีนวลไม่เคยมีเหรียญหรือรูปเหมือนใดๆ มาก่อน คงมีครั้งเดียวที่ศิษย์ผู้เลื่อมใสศรัทธาสร้างล้อคเก็ตรูปยายชีเป็นการส่วนตัว นำมาขอให้ยายชีอธิษฐานจิตให้ ยายชีก็เมตตาทำให้เป็นอย่างดี
    นอกจากนี้ไม่มีของขลังที่เป็นเรื่องเป็นราวชัดเจน เมื่อเร็วๆ นี้คุณออด อยุธยาได้นำรูปลอยองค์ของนางตะเคียนมาฝากข้าพเจ้า นางตะเคียนนี้คุณออด อยุธยาเป็นผู้จัดสร้างขึ้นถวายวัดนางกุย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยว่าจ้างให้ข้าพเจ้าเป็นผู้แกะและกดพิมพ์จนแล้วเสร็จ และได้มอบนางตะเคียนชุดเดียวกันนี้ให้ข้าพเจ้าไว้เป็นที่ระลึกเป็นจำนวน ๔๐ องค์ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นรูปผู้หญิงจึงนำไปขอให้ยายชีอธิษฐานจิตให้ แม้ป่วยหนัก ท่านก็ยังกรุณาทำให้อย่างเต็มใจ ท่านเอานางตะเคียนทั้งหมดหมกไว้ใต้แป้งหอม แล้วเอาเข้าห้องภายในกุฏิเอาไว้กับท่าน ๗ วัน


    nuan-011.jpg
    แต่พอถึงตอนส่งมอบนางตะเคียนกลับคืน ท่านกล่าวว่า “ของนี่เป็นของดีเป็นโชคเป็นลาภและเป็นเมตตา ยายทำให้เมื่อวันที่ ๑๔ ยายเชิญพระที่เมืองลาวมาช่วยทำพิธีอยากได้อะไรก็ให้ขอเอา” (อธิษฐานเอา) แปลกดีข้าพเจ้าไม่ใช่คนเล่นหวย แต่หวยงวดนี้ (๑๖ ธ.ค. ๕๑) ออก ๑๔ ตรงๆ ถูกกันเยอะ เว้นแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวไม่ถูก ด้วยไม่ซื้อ แปลกอีกข้อคือ ท่านทำพิธีคนเดียว พระเมืองลาวรูปใดกันที่ท่านเชิญมา


    หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้นำเอานางตะเคียนทั้งหมดมาปั๊มพ์ตรายางเป็นตัวอักษรไทยคือตัว “น” เพิ่มเข้าไปที่ใต้ฐาน เพื่อว่าในอนาคตข้างหน้า หากพบเห็นที่ไหนจะได้รู้จักและเข้าใจว่าเป็นของยายชีนวลอธิษฐานจิตเอาไว้ ไม่สับสนกับของวัดนางกุย ที่เป็นเจ้าของนางตะเคียนที่แท้จริงข้าพเจ้าได้ปรึกษากับท่านอาจารย์เวทย์รวมทั้งขออนุญาตคุณออด อยุธยา ว่าเฉพาะนางตะเคียน ๔๐ องค์นี้จะนำมาให้ผู้สนใจศรัทธาบูชา เพื่อนำปัจจัยทั้งหมดไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลพยาบาลยายชีนวล ซึ่งข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะหาปัจจัยส่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงที่สุด
    ข้าพเจ้าไม่ขอรับรองว่า นางตะเคียนที่ยายชีนวลอธิษฐานจิต จะขลังและศักดิ์สิทธ์เปี่ยมอภินิหารประการใด แค่นึกว่าเป็นของตอบแทนปัจจัยที่ทุกท่านสละออกมาพยุงสังขารหญิงชราผู้เป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริงเท่านั้น ขอเชิญครับ

    บั้นปลายชีวิต
    ตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ เป็นต้นมา ยายชีนวลสุขภาพไม่ดี ด้วยเหตุว่าชราภาพมากแล้ว ลูกหลานจึงขอให้ย้ายออกจากวัดภูฆ้องคำ อ.กุดข้าวปุ้น มาอยู่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม ซึ่งเป็นบ้านเกิด
    ต่อมาลูกหลานเห็นว่าการดูแลปรนนิบัติยายชีที่พำนักอยู่วัดนั้น เป็นความยากลำบาก จึงขอให้ยายชีกลับมาพักที่บ้านลูกสาว ยายชีก็อยู่ที่นั่นตลอดมา
    ระหว่างต้นปี ๒๕๕๓ มาจนถึงเดือนกรกฎาคมปี ๒๕๕๔ ยายชีป่วยหนักเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น สุดท้ายก็พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นการถาวร
    ค่ารักษาพยาบาลยายชีสูงมาก ลูกหลานไม่ได้เป็นคนร่ำรวย ยังหาเช้ากินค่ำกันทุกคน แต่ก็ได้รับความอุปถัมภ์จากลูกศิษย์ลูกหาหลายฝ่าย ช่วยกันออกค่ารักษาพยาบาลตามกำลัง
    ค่าใช้จ่ายที่หนักมากๆ คือการผ่าตัดบอลลูนหัวใจ เห็นบอกว่าหลักแสน ลูกหลานไม่มีปัญญาจ่าย ทางโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ทั้งหมอและพยาบาลหลายท่านมีความนับถือยายชี จึงช่วยกันทุกวิถีทาง ออกความคิดว่าควรทำให้ถูกต้องตามกระบวนการรักษา ก็จะมีเจ้าภาพจ่ายแทนให้
    ปัญหาอยู่ที่ยายชี เป็นบุคคลสาบสูญไปแล้วหลายสิบปี ทะเบียนราษฎร์แทงบัญชีว่าตายหายสูญไปนานแล้ว
    การที่จะทำให้ยายชีกลับมาเป็นคนปกติยากมาก ทางอำเภอตาลสุมบอกว่าอาจใช้เวลาดำเนินการเรื่องนี้นานมาก ต้องส่งเรื่องเข้ากระทรวงมหาดไทย อย่างเร็วก็ ๖ เดือน จึงจะรู้ผล ซึ่งไม่ทันการแน่นอน

    เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
    หลานท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ทราบเรื่องนี้ จึงไปกราบเรียนท่านผู้ว่าฯ ขอความช่วยเหลือ
    ท่านผู้ว่าฯ ตกลงดำเนินการเรื่องนี้ให้ด้วยตัวของท่านเอง สำเร็จเสร็จสิ้นใน ๑ วัน
    ทางอำเภอตาลสุมโทรฯ ตามญาติยายชีให้ไปรับหลักฐานทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ณ ที่ทำการอำเภอตาลสุม
    นายอำเภอกับปลัดอำเภอรอมอบหลักฐานฯให้ด้วยตัวของทั้งสองท่านเอง รอจนถึงเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น.ไม่ได้กลับบ้านตามเวลาปกติ
    เมื่อญาติไปถึง จึงถูกตัดพ้อว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะต้องถึงกับไปร้องเรียนท่านผู้ว่าฯ เลย ฝ่ายญาติยายชีจึงอธิบายว่า ไม่ได้ร้องเรียนเลย อยู่ๆ ท่านผู้ว่าฯ กรุณาเดินเรื่องให้ยายชีเอง เรื่องนี้แปลกตรงที่ท่านผู้ว่าฯ ก็ไม่เคยจะรู้จักยายชีมาก่อน บุญที่ท่านผู้ว่าฯ กระทำให้ยายชีนวลในครั้งนี้ สมควรแก่การอนุโมทนาเป็นที่สุด

    ทิ้งสังขาร
    ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ยายชีกลับเข้าโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งสุดท้าย
    อาการหนัก ต้องมีเครื่องมือช่วยพยุงสังขาร ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ตกวันละไม่น้อยกว่า ๑ หมื่นบาท
    เคยหมดลมไปครั้งหนึ่ง หมอสามารถปั๊มหัวใจเอาชีวิตยายชีกลับคืนมาได้
    ประมาณ ๑ เดือนในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ยายชีก็สิ้นลม
    เมื่อเวลาประมาณตีสาม ของคืนวันที่ ๒๑ ก.ค. ๒๕๕๔
    สาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากสังขารที่ชราภาพแล้ว อวัยวะภายในเสื่อมสภาพตามอายุใช้งาน ตับ ไต หัวใจและปอด รวมทั้งระบบเลือดทั้งระบบเสียหาย ประมาณอายุยายชี นับถึงวันสิ้นลมราวๆ ๑๐๖ ปี
    ศพถูกนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านนาทม อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี เป็นเวลา ๓ วัน จึงทำการฌาปนกิจในเวลาบ่าย ๔ โมงเย็นของวันที่ ๒๔ ก.ค. ๒๕๕๔

    เผาไม่ไหม้
    พิธีเผาศพยายชีนวล ทำง่ายๆ แบบโบราณ คือเผากันกลางแจ้ง โดยมีผู้มาร่วมพิธีเผาศพเป็นจำนวนมาก ทางวัดถึงกับออกปากว่า ไม่เคยจัดงานใหญ่แบบนี้มาก่อน ในการฌาปนกิจครั้งนี้ ยายชีสั่งการไว้ก่อนตายหลายประการ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกอย่าง จึงเกิดปัญหามากมายกว่าจะเผาได้สำเร็จ เห็นจะมีเพียงประการเดียวเท่านั้นที่ทางวัดดำเนินตามสั่ง นั่นคือระงับการวางดอกไม้จันทน์
    ยายชีสั่งการเรื่องนี้ไว้ว่า
    "ศพข้อยไม่ให้วางดอกไม้จันทน์ ให้วางไม้มุจลินท์ (ไม้จิก) แทน"
    แต่เรื่องที่ยายชีสั่งไม่ให้มีการประดับแต่งเมรุนั้น ห้ามศรัทธาของเหล่าศิษย์ไม่ได้
    ทางวัดจึงอนุโลมให้มีการประดับดอกไม้และคลุมผ้าขาวพอสมควร
    ส่วนคำสั่งอื่นๆ ที่เรียกว่าสำคัญนั้น มีผู้อวดดี อวดเก่ง อ้างตัวราวกับเป็นผู้วิเศษ เก่งกล้าสามารถ เข้ามาวุ่นวาย เจ้ากี้เจ้าการ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรียกว่าไม่รู้แต่อวดรู้ ไม่เก่งแต่อวดเก่ง จึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องอัศจรรย์

    ศพยายชีเผาไม่ไหม้
    ไฟลุกอยู่นาน ๒ ชั่วโมง ศพก็ยังอยู่สภาพเก่า
    เอายางรถยนต์มาสุมใส่อีก ๕ เส้น ยางรถยนต์ไหม้จนหมดสิ้นทุกเส้น
    ศพยายชีก็ยังอยู่เหมือนเก่า

    คำสั่งเสียก่อนมรณะ
    ยายชีนวลขณะป่วยหนัก บางครั้งจำใครไม่ได้ แม้แต่ลูกหลานอยู่ปรนนิบัติทุกวัน บางครั้งแจ่มใสจำได้ทุกอย่าง ถือเป็นเรื่องปกติของคนแก่ที่กำลังป่วยในขั้นสุดท้าย
    แต่องค์ภาวนาของยายชีมั่นคงดี ไม่คลาดเคลื่อน
    ยามสติแจ่มใสมักร้องขอให้ผู้ปรนนิบัติพาไปอยู่วัด ไม่อยากอยู่บ้านหรือโรงพยาบาล
    ยามสติแจ่มใส รู้ว่าความตายจะมาถึงแล้วในไม่ช้าก็ออกปากสั่งเสียจนเรียบร้อย ไม่บกพร่อง
    ๑. เมื่อตาย จะตายวันไหนก็ช่าง ให้จุดไฟเผาวันนั้นเลย ไม่ต้องมีบำเพ็ญกุศลศพ เพราะว่าทำมามากพอแล้ว (คำสั่งข้อนี้เป็นไปในเชิงขอร้อง ยายชีบอกว่าตัวท่านเองไม่สามารถจะจุดไฟเผาศพตัวเองได้ ขอให้คนที่ยังอยู่จุดไฟเผาให้ด้วย)
    ๒. เมื่อไม่ต้องมีพิธีกรรมตามประเพณี คือบำเพ็ญกุศลศพ มันก็ง่าย โลงศพและเมรุไม่ต้องประดับตกแต่ง ให้เผากลางแจ้ง เพื่อให้ทุกคนเห็นถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขาร ให้เห็นว่าซากสังขารไม่ใช่สิ่งสวยงามน่ายินดี ให้พากันเบื่อหน่าย ให้เกิดความสังเวชสังขารที่บางคนยังเห็นว่าสวยว่างามน่ายินดี ให้ศพของยายชีเป็นเครื่องมือช่วยให้คลายความยินดี ปลดพันธนาการแห่งกำหนัด จนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายตนเอง
    ๓. อนุญาตแค่ ๓คนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้จุดไฟเผาศพยายชี คือ คุณนก (หลานสาว), คุณแก๋ (หลานชาย) และคุณกบ (หลานชาย) หากไม่ใช่ ๓ คนนี้ เป็นคนอื่นจุดไฟ จะเผาศพยายชีไม่ไหม้
    ๔. ไม่ให้วางดอกไม้จันทน์ ให้วางไม้มุจลินทน์ (ไม้จิก) ที่เชิงตะกอน
    ลูกหลานทุกคนที่รับฟังคำสั่งเสีย พร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
    แต่กลับไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุว่ามีผู้อวดรู้เจ้ากี้เจ้าการเข้ายุ่งเกี่ยว จนทำให้คำสั่งเสียถูกบิดเบือนไป
    ท่านแรกมาจากไหนไม่ทราบ บอกว่ายายชีไปบอกตนทางกระแสจิต ว่าต้องทำที่วางศพเจ็ดชั้น เอาศพยายชีไว้ที่ชั้น ๗ โลงศพต้องเป็นโลงอย่างดี (แบบโลงพระสายกัมมัฏฐาน)
    เรื่องนี้ลูกหลานไม่อาจทำได้ ด้วยว่าต้องใช้เงินมากโข
    "ไม่ทำไม่ได้นะ ยายชีไปหาเรา สั่งกับเราให้มาบอกพวกท่าน"
    "โลงแบบที่ว่าราคา ๒๘,๐๐๐ บาท กับที่วางศพ ๗ ชั้น ทำอย่างไร ไม่มีใครรู้จัก คงใช้เงินมาก"
    "เรื่องเงินยายชีบอกว่าไม่มีปัญหา ขอให้ทำตามที่สั่ง"
    "เงินจัดงานศพนี้ พวกเรามีเงินแค่ ๑๓,๐๐๐ บาท ถ้ายายชีไปบอกท่านจริง แสดงว่ายายชีต้องการให้ท่านเป็นคนทำ ท่านก็ไปหาเงินมาซี"
    รายนี้ก็เผ่นหายไป ไม่กลับมาอีก
    อีกรายก็เคยไปมาหาสู่ยายชีสมัยยังมีชีวิตอยู่ อวดอ้างว่าสื่อสารกับยายชีทางกระแสจิตทุกวัน ขณะยายชีป่วยอยู่โรงพยาบาล จึงรู้ดีกว่าใครว่ายายชีต้องการให้ทำอย่างไร
    ท่านผู้นี้ได้เข้ามาอยู่ที่งานศพตั้งแต่วันแรก เจ้ากี้เจ้าการเป็นธุระเหมือนจะวางตนเป็นแม่งาน ผู้รู้จักทุกเรื่อง รู้จักวิธีจัดการทุกอย่างกับศพยายชี
    จึงได้คัดค้านต่อต้าน ไม่ยอมให้เผาศพยายชีในวันเดียว อ้างว่าผิดประเพณี อย่างน้อยควรตั้งศพไว้ ๗ วัน
    ชาวบ้านทั้งหลายและผู้ที่พอจะเป็นที่นับหน้าถือตาแก่คนทั้งหลายต่างเห็นพ้องด้วย ตกลงจึงให้บำเพ็ญกุศลศพยายชีแค่ ๓ วัน ซึ่งก็ไม่เป็นที่ถูกใจแก่คนทั้งหมด แต่ต้องจำยอม ไม่งั้นเรื่องทะเลาะปะทะคารมกันจะมีต่อไปไม่จบ
    ถึงตอนเผา ผู้ที่วางตนเป็นแม่งาน ก็เข้ามาคำเนินการทุกขั้นตอนของกระบวนการเผาด้วยตนเอง
    กระทั่งธรรมเนียมใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพก็ให้งด อ้างว่ายายชีสั่งให้ใช้น้ำหอมหรือน้ำอบไทย
    เรื่องน้ำมะพร้าวนั้น รู้จักกันดีแต่โบราณหรือแม้แต่ทางการแพทย์สมัยใหม่ รู้ว่าเป็นน้ำที่บริสุทธิ์สะอาด แม้ในยามสงครามขาดแคลนน้ำเกลือ ยังสามารถใช้น้ำมะพร้าวแทนน้ำเกลือได้
    ลูกหลานที่ล้วนแต่เป็นคนบ้านนอกต้อยต่ำ พูดไม่ออก ต้องนิ่งเงียบยอมให้เขาดำเนินการกันไป
    เสมือนถูกกันออกมา ไม่ให้เข้าไปเกี่ยว ทั้งการออกความเห็นหรือลงมือปฏิบัติ

    จนกระทั่งถึงเรื่องเผาศพ ที่ศพไม่ยอมไหม้ไปตามธรรมชาติ
    ผู้อวดรู้อวดเก่งทั้งหลายก็ถึงกับออกอาการหมดปัญญา หมดท่า หมดน้ำยากันไปที่ละรายสองราย
    ในที่สุดก็ยอมวางมือ หนีหายไปหมด
    สุดท้ายจึงให้ลูกหลาน ๓ คน ที่ยายชีอนุญาต ได้เข้าไปทำพิธีจุดไฟ
    โดยใช้เทียนไขคนละเล่มจุดไฟ อธิษฐานบอกยายชี แล้วโยนเทียนไขเข้าไปในกองฟอน
    แปลกที่แค่เทียนไขเล่มเล็กๆ ไฟในกองฟอนกลับลุกโชติช่วงขึ้น ราวกับโดนสาดด้วยน้ำมันก๊าด
    ศพยายชีจึงเริ่มไหม้ โดยเริ่มไหม้จากปลายเท้า ลามเข้ามาบั้นเอว
    ส่วนเอวมาถึงศีรษะยังคงรูปลักษณะเดิม เหมือนจะต้านไฟ
    แต่เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าเริ่มไหม้ไปด้วย แต่ไหม้อย่างช้าๆ นับว่าผิดปกติเหมือนกัน
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (ต่อ)
    เหตุอัศจรรย์ที่ต้องบันทึกไว้
    ๑. ไม่มีกลิ่นเนื้อหนังคนถูกไฟเผา (เรียกว่าไม่มีกลิ่นศพถูกเผา)
    ข้าพเจ้านั่งอยู่ใต้ลม รับกลิ่นเต็มๆ มีเพียงกลิ่นควันไฟของไม้ถูกไฟเผา กลิ่นเนื้อหนังคนถูกเผาหายไปไหนหมด แค่ย่างเนื้อแห้งกินที่บ้าน กลิ่นยังโชยไป ๒ บ้าน ๓ บ้าน
    แต่นี่ไม่มีกลิ่นเลย ใช่แต่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น ทุกคนในเวลานั้นรู้จักเรื่องนี้เหมือนกัน และเป็นพยานด้วยกันทั้งหมด
    ๒. แม้หมอน ๔ เหลี่ยมแบบอีสานที่ใช้หนุนศีรษะยายชีก็ยังไม่ไหม้ไฟ
    หมอนยัดด้วยนุ่นจะต้านทานไฟได้อย่างไร หมอนใบนั้นคงสภาพเดิมอยู่คู่กับศพที่ต้านไฟของยายชีตลอดเวลา
    หมอนเพิ่งจะเริ่มไหม้หลังจากหลานชายและหลานสาวยายชีเข้าไปทำพิธีจุด ไฟไหม้จากขอบนอกเข้าไป แต่ส่วนที่สัมผัส (รองรับ) ท้ายทอยยายชียังคงอยู่เป็นก้อน จนกระทั่งถึงเวลาที่ศพยายชีเริ่มไหม้จนหมด หมอนใบนั้นจึงไหม้หมดตามไปด้วย
    ๓. ตลอดเวลาที่เผานั้น ศพยายชีไม่มีอาการหนังเนื้อแตกปริ คงสภาพผิวหนังเรียบๆ เอาไว้ ค่อยๆ แห้งไป และไหม้ไปอย่างช้าๆ ไม่มีของเหลวจากภายในศพไหลทะลักออกมา ให้อุจาดตา แม้แต่หยดเดียว
    ๔. ศพอยู่ในอิริยาบถเดิมตั้งแต่เริ่มเผา จนจบกระบวนการเผา ศพไม่กระดุกกระดิก นิ่งอยู่ในท่าไหนก็ท่านั้น นิ่งสงบอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ
    เรื่องไฟนี้จะว่าไปแล้ว สมัยยังยายชียังมีชีวิตอยู่ เคยมีผู้แอบเห็นว่า ยายชีหยิบก้อนถ่านไฟแดงๆ ด้วยมือเปล่า
    บางคราวเกิดเหตุไฟที่ชาวบ้านจุดเผาหญ้าลามไหม้เข้ามาหากุฏิยายชี แทนที่จะหาน้ำมาดับไฟ ท่านเอามือเปล่ากวาดไฟทั้งแขน ไฟก็ดับ ไม่ลามเข้ามา
    หลังจากศพไหม้ไฟแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการเก็บอัฐิ เกิดจลาจล ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งพระทั้งเณรและญาติโยมกรูกันเข้าแย่งกันเก็บอัฐิยายชีจนหมด
    ลูกหลานเก็บไว้ได้เพียงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เก็บไว้นี้ตั้งใจจะสร้างธาตุอัฐิทับบริเวณที่เผา แล้วเอาอัฐิส่วนนี้บรรจุไว้
    นี่คือเรื่องของยายชีนวล แสงทอง ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปรากฏให้เห็นในโลกปัจจุบัน
    โลกที่วิทยาศาสตร์มีอิทธิพลเหนือไสยศาสตร์

    ประมวลภาพพิธีฌาปนกิจศพยายชีนวล แสงทอง


    nuan-012.jpg


    nuan-017.jpg


    nuan-016.jpg


    nuan-019.jpg

    nuan-018.jpg nuan-020.jpg nuan-015.jpg

    nuan-021.jpg





    bar-red-lotus-small.jpg


    ubasika-nuan-hist-01.gif
    ขอบพระคุณที่มา .- http://www.dharma-gateway.com/ubasika/nuan/ubasika-nuan-hist-01.htm
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร พระรูปเดียวที่มีสิทธิพิเศษ ในบรรดาศิษย์หลวงปู่มั่น// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    Nov 1, 2021
    หลวงปู่หลุย จันทสาโร ได้เล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านฟังว่า..ในบรรดาศิษย์หลวงปู่มั่น เห็นมีแต่ท่านอ่อนสาองค์เดียวเท่านั้น ที่แบกกลดสะบาตรมาพักอยู่ปฏิบัติกับองค์หลวงปู่มั่นได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาตจากท่านก่อนล่วงหน้า หลวงปู่มั่นเองก็เมตตาท่านมาก ไม่ดุด่าว่ากล่าวเลยสักนิด ซึ่งต่างจากพระองค์อื่น ถ้ามาทำแบบนี้ ต้องโดนเทศน์กัณฑ์ใหญ่เป็นแน่..
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ๑๐๕ .ลับแลเวียงแลง ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    120,965 viewsOct 21, 2021
    กายทิพย์ของส่างอุ่นเปิง ขี่ม้าขาวไปช่วยเหลือชาวลับแลเวียงแลงให้พ้นภัยของอสูรยักษ์ที่ดุร้าย.


     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    หลวงปู่จามธุดงค์ป่าเมืองเหนือ | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่จาม มหาปุณโญ

    100 เรื่องเล่า
    Oct 20, 2021
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    ธุดงค์แดนเถื่อนดงพม่า | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่ชอบ ฐานะสโม

    100 เรื่องเล่า
    Oct 14, 2021
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    LpChobTanasmo.jpg
    เรื่องอัศจรรย์กลางป่าลึก | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    100 เรื่องเล่า
    Oct 16, 2021
    ช่องทางการติดต่อ เพจ : https://www.facebook.com/100ROYSTRY
    เรื่องอัศจรรย์กลางป่าลึก หลวงปู่ชอบ ฐานะสโม พระธุดงค์กรรมฐาน ลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมักจะออกธุดงค์ไปตามป่าเขา เถื่อนถ้ำต่างๆ หลายสิบถ้ำ ท่านมีประสบการณ์ในการพบกับสิ่งลี้ลับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทดา พวกกายทิพย์ พญานาคท่านก็เคยพบเห็นหลายครั้ง และยังเหตุการณ์ปาฏิหาริย์อัศจรรย์เกิดขึ้นกับท่านหลายครั้ง ท่านเคยพบเห็นพญานาคแปลงกายเป็นสัตว์ หรือเป็นคน เป็นหลายอย่างให้ท่านชมก็เคยมี และหลวงปู่ชอบ ท่านมีสหธรรมิก ที่ถูกอัธยาศัยกันคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านมักจะออกเที่ยวธุดงค์ไปตามป่าเขา มีจริตนิสัยที่คล้ายกัน จึงมักจะชอบออกธุดงค์ด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ท่านยังมีคุณวิเศษในการระลึกชาติได้อีกด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2021
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    pic_026.jpg

    ข้อมูลประวัติ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย

    หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง (พระครูวิจิตรธรรมานุวัติ)
    เป็นพระคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญในวิชาไสยศาตร์ โหราศาตร์ เเละเเพทย์เเผนโบราณ องค์หนึ่งในภาคตะวันออกเป็นพระคณาจารย์สมัยหลวงพ่ออี๋ เเห่งวัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เเต่เเก่อาวุโสกว่า เเละรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เคยลองวิชากันเป็นที่ชื่นชอบของลูกศิษย์ในสมัยนั้น เเต่ชื่อเสียงของหลวงพ่อวงศ์มิได้โด่งดังไปไกล เนื่องจากท่านเป็นพระที่รักสันโดษ มักน้อย เเละถ่อมตัว ทำเครื่องลางของขลังออกมาน้อยนั่นเอง เเต่ว่าในเขตท้องถิ่นหรือเขตใกล้เคียง ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้กันทั่วไปในวงการ เคยไปร่วมพิธีพุทธาภิเศกกับสมเด็จพระสังฆราชเเพ เเห่งวัดสุทัศน์ที่กรุงเทพมหานครในสมัยนั้น หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ที่กล่าวถึงนี้ ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะอำเภอบ้านค่าย เเละอดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านค่าย อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง จากหลักฐานที่เชื่อถือได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เคยมาตั้งค่ายอยู่ที่อำเภอบ้านค่าย ก่อนจะเข้าตีเมืองระยอง ส่วนวัดบ้านค่ายนั้น ตามหลักฐานค้นดูในหนังสือ ประวัติในจังหวัดระยอง จัดทำโดย พระอมรเวทีศรีบูรพาทิศสังฆปราโมกข์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดระยอง ร่วมกับนายวิทยา เกษรเสาวภาค อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง หนังสือหน้า 254 กล่าวว่า วัดบ้านค่ายตามคำบอกเล่าสืบๆกันมา ว่าสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย เป็นราชธานี สมัยนั้น ขอมยังปกครองเเถบนี้อยู่ ขอมได้สร้างวัดเเละโบสถ์ไว้ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง นั้น ตามบันทึกอัตตชีวประวัติ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พศ 2479 ได้กล่าวไว้ว่า หลวงพ่อวงศ์นามเดิมชื่อ วงศ์ นามสกุล วงศ์พิทักษ์ เกิดที่บ้านหนองตาเสี่ยง ตำบล หนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 9 ปีมะเส็ง พศ 2400 บิดาชื่อ น้อย มารดาชื่อ เอี่ยม มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา ทั้งหมด 9 คน หลวงพ่อเป็นคนที่ 4 มีอาชีพในทางทำนา เมื่อหลวงพ่ออายุยังน้อย บิดาได้ตายจากไปเสียก่อน ท่านจึงได้ช่วยมารดาทำนาเลี้ยงน้องๆโดยกู้เงินเขามาซื้อควาย เเล้วทำนาปลดหนี้กู้เขาจนหมด ในปีเดียว เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม อายุ 14 มารดาไปนำไปฝากเลี้ยงไว้ทีวัดเพื่อเรียนหนังสือ โดยนำไปฝากกับพระอาจารย์กลั่น วัดบ้านค่าย ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีโรงเรียนเหมือนกับสมัยนี้ ใครจะเรียนหนังสือต้องไปเรียนทีวัด จังหวัดระยองในสมัยนั้นมีสภาพเป็นป่าเกือบทั้งจังหวัด ในตัวเมืองระยองก็มีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง ถนนหนทางก็ไม่มี มีเเต่ทางเกวียน จะไปกรุงเทพฯ ต้องไปลงเรือที่ปากน้ำระยอง นั่งเรือกันหลายวันกว่าจะไปถึงกรุงเทพฯดังนั้นใครจะไปเรียนหนังสือจะต้องมีความมานะพยายามเป็นอย่างดี หนังสือที่เรียนก็เป็นหนังสือ ขอมไทย เเละหนังสือไทย ความประสงค์ของกุลบุตรที่เข้ามาเรียนในวัด ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการบวชเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับหลวงพ่อเมื่ออายุครบบวชท่านจึงได้อุปสมบท ณ วัดบ้านค่าย ตรงกับเดือน 8 เเปดสองหน พ.ศ 2423 ขณะนั้นอายุ 24 ปีโดยมี หลวงปู่สังข์เฒ่า ที่มีอาคมเเก่กล้า เเละเป็นผู้สร้างวัดละหารไร่เป็นพระอุปชฌาย์ พระอาจารย์ดี วัดบ้านค่ายเป็นพระกรรมาจารย์ พระอาจารย์ห่วง วัดหนองกะบอกเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชเเล้วประมาณ 8 เดือนมีเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่งที่ทำให้หลวงพ่อเศร้าโศรกมาก คือเหตุเกิดขึ้นคืนหนึ่งในเดือน 4 หลวงพ่อก่อนจำวัดได้จุดธูปเทียนตามปกติ เพื่อบูชาพระก่อนจำวัด ปรากฏว่าธูปหักกลางตกลงมาไหม้ผ้าครอง หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เขียนรำพันไว้ในประวัติของท่านว่า เมือตอนหลับ ธูปหักลงมาไหม้ผ้าครอง ร้องไห้อยู่หลายเวลา ผ้าครองเหมือนคู่บารมีเหมือนพระทีมีชีวิต เมื่อตายไปเเล้ววายปราณ ฉันจังหันเเลไปทำจิตที่พลุ่งพล่านที่หลงไหล เลยเข้ากอไผ่หมูลำมะลอก ตอนนี้ หากไม่ได้อาจารย์ดี พระกรรมาจารย์ของหลวงพ่อมาทำน้ำมนต์ 7 บาตรรดให้เเละหมอบผ้าครองใหม่ให้เเล้ว น่ากลัวว่าหลวงพ่อคงจะลาสิกขา จังหวัดระยองคงจะขาดอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษไปองค์หนึ่ง หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดบ้านค่าย จนถึงพรรษาที่ 10 ประมาณปี พศ 2433 พระอาจารย์ดี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านค่ายได้มรณภาพลง พระยาศรีสมุทรโภคโชคชัยชิตสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองในสมัยนั้น จึงมอบให้หลวงพ่อเป็นผู้รักษาวัดบ้านค่าย ต่อมา พระครูสมุทรสมานคุณเจ้าคณะจังหวัดระยองในสมัยนั้น ได้เเต่งตั้งให้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เป็นเจ้าอธิการวัดบ้านค่าย มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองวัดบ้านค่ายโดยสมบูรณ์ ในปีพศ 2446 หลวงพ่อวงศ์มีพรรษาได้ 24 พรรษา อายุ 46 ปี สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมัยดำรงค์สมณศักดิ์ เป็นที่ พระสุคุณคณาภรณ์ เจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ได้นัดพระเถระผู้ใหญ่ รวม 20 วัดที่วัดเก๋ง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลระยอง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อเเต่งตั้งให้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ดำรงตำเเหน่งเจ้าคณะเเขวงอำเภอ บ้านค่าย ในวันเเรก ท่านไม่ยอมรับ ท่านเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ก็ยังไม่ยอม ให้พระผู้ใหญ่ซึ่งมาประชุมในวันนั้นกลับไปก่อน เเละนัดให้มาประชุมใหม่ในวันรุ่งขึ้น
    วันรุ่งขึ้น ฉันเช้าเเล้ว ตีระฆังเข้าประชุมในโบสถ์วัดเก๋งพร้อมกันเเล้ว ท่านเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ได้ประกาศต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ทั้งหมดว่า ท่านวงศ์ ฉันให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสามอย่างคือ
    1 ให้รับ
    2 .ให้สึก
    3 ให้ไปเสียต่างเมือง
    เมื่อหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ถูกยื่นคำขาดเช่นนี้ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับเมื่อหลวงพ่อยอมรับพระสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งมาประชุมกัน ณ ที่นั้น ก็สวดชะยันโต เเละอนุโมทนาสาธุขึ้นพร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธีเเต่งตั้งเจ้าคณะเเขวงบ้านค่าย หรือ เจ้าคณะอำเภอบ้านค่ายปัจจุบัน นับว่า หลวงพ่อวงศ์เป็นเจ้าคณะเเขวงองค์เเรกของอำเภอบ้านค่าย มีวัดในเขตปกครองของอำเภอบ้านค่าย 16 วัด คือ
    1 วัดไชยชุมพล ตำบลบ้านค่าย ปัจจุบันเป็น วัดบ้านค่าย
    2 วัดสุกรวารี ตำบลบ้านหนองเข้าหมู ปัจจุบันเป็น วัดหนองคอกหมู
    3 วัดไชยพฤกธาราม ตำบลหวายกรอง ปัจจุบันเป็น วัดหวายกรอง
    4 วัดสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารใหญ่
    5 วัดวารีสังฆาราม ตำบลบ้านละหาร ปัจจุบันเป็น วัดละหารไร่
    6 วัดหนองกรับ ตำบลหนองกรับ ปัจจุบันเป็น วัดหนองกรับ
    7 วัดสิลาล้อม ตำบลบ้านห้วงหิน ปัจจุบันเป็น วัดห้วงหิน
    8 วัดไผ่ล้อม ตำบลบ้านปากกอไผ่ ปัจจุบันเป็น วัดไผ่ล้อม
    9 วัดไชยพฤกภุมรา ตำบลบ้านปากน้ำลึก ปัจจุบันเป็น วัดกะบกขึ้นผึ้ง
    10 วัดราชธาราม ตำบลบ้านหนองละลอก ปัจจุบันเป็น วัดหนองกะบอก
    11 วัดอารัญญิกาวาศ ตำบลบ้านเกาะ ปัจจุบันเป็น วัดเกาะ
    12 วัดมรรคาวารินธาราม ตำบลบ้านหนองสะพาน ปัจจุบันเป็น วัดหนองสะพาน
    13 วัดทองธาราม ตำบลบ้านเก่า ปัจจุบันเป็น วัดบ้านเก่า
    14 วัดตรีชล ตำบลบ้านตาขัน ปัจจุบันเป็น วัดตาขัน
    15 วัดปากเเขก ตำบลบ้านปากเเขก ปัจจุบันเป็น วัดปากป่า
    16 วัดมาบข่า ตำบลบ้านมาบข่า ปัจจุบันเป็น วัดมาบข่า
    ต่อมาในปี พศ 2461 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นถึงปี พศ 2472 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ เป็นที่ พระครูวิจิตรธรรมานุวัติ ดังสำเนาประกาศพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ ดังนี้
    พระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์
    วันที่ 6 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2472 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานสัญญาบัตรสมณศักดิ์ คือ ให้พระครูวงศ์ วัดบ้านค่าย เป็นพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ

    เจ้าคณะเเขวงจังหวัดระยอง เรียนวิชากับหลวงพ่อกง

    สำหรับมนต์คาถาเเละวิชาเเพทย์โบราณนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้รับการสอนประสาทวิชาจากพระภิกษุรูปหนึ่งคือ
    หลวงพ่อกง ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวเขมรลูกผสมลาว ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ที่เมืองเขมร
    หลวงพ่อวงศ์ ระยอง สมัยเป็นพระภิกษุหนุ่ม ได้ออกเดินธุดงค์เเสวงหาครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้วิชาทั้งหลาย ทั้งยังได้ฝึกปฏิบัติทางจิต ให้เกิดอำนาจเกิดพลัง เเต่การออกเดินธุดงค์กรรมฐานของหลวงพ่อวงค์นั้นท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อกง พระชาวเขมรเข้าจึงเดินธุดงค์เข้าเมืองพนมเปญ เเละได้ไปพักอยู่ที่วัดของหลวงพ่อกง เพื่อขอศึกษาเล่าเรียนวิชาด้วยเป็นเวลานาน วิชาที่หลวงพ่อกงได้ประสิทธิ์ให้หลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เป็นวิชาทางโลกทั้งสิ้น
    1 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ เวทย์มนต์คาถา ที่ได้ปรากฎผลมาเเล้วอย่างหน้าอัศจรรย์
    2 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การเล่นเเร่เเปรธาตุ การเรียนวิชานี้เเม้สำเร็จผลเเล้วสามารถดลสิ่งต่างๆเช่น โลหะให้กลายเป็นทองคำก็ได้ เสกน้ำธรรมดาๆ ให้เป็นทองคำเต็มขันได้ ให้ทองคำเต็มตุ่มก็ได้
    3 หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ การทำน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งจะทำให้วันอันเป็นมงคล ซึ่งสุดเเต่ว่าจะเป็นงานอะไร รับรองว่าศักดิ์สิทธิ์นัก
    4 หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง เรียนวิชาที่เกี่ยวกับ วิชาเเพทย์เเผนโบราณ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้ศึกษาตัวยาสมุนไพรในป่าจนเกิดความชำนาญ สามารถรู้จักรักษาเฉพาะโรคได้
    หลวงพ่อวงศ์อบรมวิญญาณ
    เมื่อได้อ่านประวัติของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง กับวิญญาณเเล้วก็อยากเล่าเรื่องผีให้จบสิ้นไปเลย เอาตอนรักษาโดยเฉพาะจะได้ไม่ยืดยาวคือ
    ครั้งหนึ่ง มีชาวบ้านป่วยมาก ได้นำตัวไปรักษาพยาบาลภายในบ้านค่ายจนสถานที่คับเเคบไป นายเเพทย์สมัยนั้นไม่มี นอกจากตัวของหลวงพ่อวงศ์เอง เป็นทั้งหมอ เป็นทั้งพยาบาล เป็นทั้งผู้ปรุงยา
    ส่วนคนไข้อีกประเภทหนึ่ง พวกนี้ถูกผีป่า เจ้าเขา เข้าสิงร่าง สิงดวงใจ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ต้องอาศัย ธรรมะ เข้าอบรมวิญญาณนั้นให้มาพูดคุยด้วย จนรู้เหตุของการเข้าสิงเเล้ว ท่านจะขอบิณฑบาตไม่ให้จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป
    หลวงพ่อวงศ์ ระยอง อบรมด้วยอำนาจเเห่งจิตที่ทรงสมาธินั้นเเล้ว ท่านก็ทำพิธีกรรมอีกครั้ง คือ พรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ นับจากนั้น โรคภัยก็หายขาดไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    เหตุที่เกิด การที่ผีหรือวิญญาณหรือปีศาจ อะไรก็ได้ที่จะเรียกกันทั้งนั้น ถ้าจะเข้าสิงใครต่อใครได้ ก็ย่อมมีเหตุหลายประการเช่น
    1 วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรที่เคยก่อเวร กันมาก่อนในชาติต่างๆ ได้ตามกระเเสของวิบาทกรรมนั้นมาถึงในชาตินี้ จึงเข้าสิงล้างเเค้น ทำให้ทุกร้อนด้วยกรณีต่างๆ
    2 เป็นบุคคลที่ก่อกรรมทำชั่วตลอดเวลา จิตใจเเสวงหาเเต่สิ่งชั่วช้า ลามก เที่ยวเบียดเบียนทำลายชีวิต ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยตกล่วง เมื่อเพียรพยายามให้ทุกข์เเก่ท่าน ที่สุดทุกข์นั้นมาถึงตัว ก็ทำความเดือดร้อนอยู่กับที่ไม่ได้เหมือนไฟลุกลามให้เร่าร้อน วิญญาณเจ้ากรรมก็เข้าสิงกระทำสิ่งที่ตนเองไม่รู้ตัวเช่น ทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บ ทำอนาจารตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว ทำลายทรัพย์สินที่ตนสร้างขึ้นให้หมดไป จนสิ้นหลักเเหล่ง ไปในที่สุด
    3 จิตเดิมของมนุษย์เป็นจิตที่บริสุทธิ์เป็นประภัสสร เเต่เนื่องจากกระเเสกิเลส ทำให้หลงใหลใฝ่ฝันตกหลุมพรางกิเลส ที่ไม่เคยนิยมให้คนทำความดี ตรงกันข้ามกลับนิยมชมชื่น ถ้าบุคคลทั้งปวงทำความชั่วช้าเลวทราม ยิ่งศีลธรรมด้วยเเล้ว เป็นอันหมดกันไม่มีติดดวงจิต ดวงใจเลย อัปมาดังเรือเดินทะเล ถ้าเปิดทางให้น้ำทะเลเข้ามาอยู่เสมอๆ มิช้ามินาน เรือลำนั้นจะต้องจมสู่ก้นทะเลลึกเเน่นอนฉันใด จิตใจมนุษย์ก็ฉันนั้น ถ้าไม่มีศีลธรรมภายในในดวงจิตเเล้ว ปากประตูใจถูกเปิด ก็ย่อมเป็นที่อาศัยของกิเลสทั้งหลายที่เข้ามาเเทรกสิง เพราะความชั่วก็เข้าได้ บาปกรรมก็เข้าได้ ยักษี ผีเปรตก็เข้าได้ ไม่ช้าจิตก็เต็มไปด้วยของเสีย ของเน่า ดังนั้นผีจะเข้าร่าง จิตใจของมนุษย์ได้เเล้ว ย่อมไม่มีสิ่งอื่นนอกจาก 3 ข้อนี้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้อบรมสั่งสอนว่า ให้ตรวจ ให้ดูจิตใจเราเอง เหตุที่จะเกิด มันเกิดที่ใจเท่านั้น ความชั่วมิได้เเทรกเข้าเนื้อเข้าหนัง ไม่ได้เเทรกเข้าที่อื่นเลย ปิดช่องเข้าเสียซิ ถ้าเข้าหูก็อุดหู เข้าตาก็อุดตา เข้าปากก็อุดปากงับมันเสีย เข้าจมูกก็อุดมันเสีย ลิ้นก็ถูกปากงับไว้เเล้ว เพราะประตูเหล่านี้ เเหละที่กิเลสผีร้ายเข้าสิงใจได้ ดังนั้นเหตุเกิดที่ใจ ก็ต้องดับเหตุที่ใจเช่นกัน ผีเปรตอะไรจะเข้ามาได้ละทีนี้
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,490
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,086
    (cont.)
    วิธีรักษา หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เป็นพระที่ทรงศีล เป็นพระที่ดีวิเศษธรรม มีจิตใจเมตตาเอื้อเฟื้อ ฉะนั้นใครก็ตามที่ถูกผีป่าเข้าสิง ท่านจะรักษาให้ด้วยดีเสมอมา การรักษาท่านมีวิธีการของท่านเเต่คงไม่พ้นหลักเมตตาเเละญานรู้เห็น หมายความว่า ก่อนทำการรักษา ท่านต้องกำหนดดูให้รู้เเจ้งว่า วิญญาณผีนั้น มีความสัมพันธ์กับคนป่วยหรือไม่อย่างไร เป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่า เเละดูถึงจุดประสงค์เเละวิบากกรรมเก่า
    1 เมื่อรู้ชัดเเล้ว ถ้าเเก้ไข้ได้ท่านจะเทศนาสั่งสอนดวงวิญญาณนั้นให้ละวางความพยาบาทเเละชี้ทางดีที่ควรให้ พร้อมทั้งเเผ่เมตตาด้วยกุศลเเห่งธรรม
    2 พื้นฐานจะให้วิญญาณหรือผี เชื่อได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ด้วยศีลเเละความดีงามอันมีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ถ้าดีจริง มีศีลบริสุทธิ์จริง วิญญาณย่อมรู้เเละเชื่อฟังโดยดี
    3 อัปมาดังบุรุษสองคน มีเหตุวิวาทบาดหมางกัน เมื่อบุคคลมาห้ามปราม บุคคลนั้นจะเป็นที่เคารพเชื่อถือของบุรุษ ทั้งสองฝ่าย จะต้องเป็นบุคคลดี มีศีล มีธรรม น่านิยมเลื่อมใส จึงจะยุติได้เพราะเชื่อฟังด้วยผลของความดี
    หลวงพ่อวงศ์ ระยอง เเห่งวัดบ้านค่าย ก็เช่นกัน ท่านเป็นพระภิกษุที่ทรงไว้ด้วยศีลาจารวัตร ไม่มีความด่างพร้อยอันใด การที่จะเอาผีร้ายออกจากจิตใจของคนป่วยนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือการบังคับขับไล่ด้วยเวทมนต์ เพียงเเต่อาศัยอำนาจความดีจริง มีพรหมวิหารธรรม เข้าต่อรองเท่านั้น ผีจะอนุโมทนาเข้าป่าหายไป (ป่ากิเลส)
    น้ำมนต์ดอกบัวบาน
    น้ำพระพุทธมนต์ที่ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ได้กระทำพิธีขึ้นนี้ เเม้ได้ยินชื่อก็ศรัทธาเสียเเล้วคือ พระเจ้า 5 พระองค์ หรือน้ำมนต์ดอกบัวบาน
    การที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะสร้างน้ำพระพุทธมนต์วิเศษนั้น มิใช่ว่าทำได้ทุกวันเหมือนอย่างสำนักต่างๆ เช่นในปัจจุบัน ที่เขาทำกัน เเล้วกรองใส่ขวดขายขวดละ 20-30 บาทนะ ท่านไม่เอาหรอกน้ำมนต์ของท่านนั้น ในช่วง 1 ปี ท่านจะทำเพียงครั้งเดียว คือวันบูชาครู เเละอุปัชฌาย์ อาจารย์ผู้ให้กำเนิด คือ
    1 ครู ก็หมายถึง องค์พระศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้า (องค์สมณโคดมเจ้า)
    2 พระอุปัชฌาย์ หมายถึง ครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์สั่งสอนอบรมให้เกิดศีล ให้เกิดธรรม
    3 พระพรหมของบุตร คือ บิดาเเละมารดาผู้ให้กำเนิดซึ่งมือสอง ขาสอง ศรีษะหนึ่ง เป็นต้น เมื่อวันอันเป็นสิริมงคลมาถึง ท่านก็จะกระทำน้ำพระพุทธมนต์ เอาน้ำใส่โอ่งมังกร พร้อมทั้งนำเทียนไขมา เเล้วบริกรรมภาวนาจนจิตสงบเป็นสมาธิ ความอัศจรรย์นั้นคือน้ำตาเทียนที่หยดลงมานั้นจะเเตกเป็น 5 กลีบ มีลักษณะคล้ายดอกบัวบาน โดยในเเต่ละหยดของน้ำตาเทียนจะมีลักษณะเหมือนกันหมด มองดูเหมือนดอกบัวบานชูช่อ กลางสระน้ำฉันนั้น
    สรรพคุณ น้ำพระพุทธมนต์ชนิดนี้ ดีเด่นหลายประการ
    1 รดหรือ อาบ หรือ ประพรม ให้คนป่วยเป็นบ้าวิกลจริตเพ้อคลั่งจนดุร้าย หายดีนักเเล
    2 คนถูกภูตผีปีศาจ อาละวาดสิงสู่ หรือพื้นที่เเผ่นดินเกิดอาอรรพถ์ พี่น้องคดโกงประสงค์ร้ายกัน ให้ใช้ประพรม อบรมด้วยอธิฐานจิตใช้ได้ดีนักเเล
    3 ชายชาตรี สตรีองอาจ ให้อาบ รด ประพรม ให้อยู่คงกระพันเเคล้วคลาดปราดเปรื่องเรือง ปัญญาดีนักเเล หรือจะหลบ จะลี้ จะหลีก จะเลี่ยง ล้วนใช้ประโยชน์ได้ดีนักเเล
    มหาประสาน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านมีมนต์ขลังอยู่บทหนึ่ง ซึ่งสามารถเเปลออกมาเป็นวิชามหาประสาน สมัยที่หลวงพ่อวงศ์ ระยอง ยังมีชีวิตอยู่นั้น เเม้ว่าใครก็ตาม มีความประสงค์จะให้ท่านลงนะ โดยการเเผ่เมตตาจิตลงยังธูปหอม เเล้วนำกลับไปบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะทำให้ด้วยความยินดี วิธีของท่านคือ นำธูปทั้งซองมาถวายท่าน ท่านรับเอาไปเเล้ว ก็เขียนตัว นะ เป็นภาษาขอม จากนั้นท่านก็ตบเบาๆ ปรากฏว่าภายในซองที่บรรจุธูปทุกดอกจะติดเป็นอักขระ นะ ทุกดอก ตอนนี้เเหละเป็นช่วงสำคัญ หลังจากจุดธูปบูชาพระเเล้ว ขี้นั้นเองเป็นยาวิเศษมหาประสานใครเป็นเเผลก็เอาขี้ธูปมาปิดบาดเเผลจะหายวันหายคืน ถ้าใครถูกมีดบาด เลือดไหลไม่หยุด ก็เอาขี้ธูปทาตรงบาดเเผลเข้าเลือดจะหยุดไหลทันที บุรุษใดหลงทาง เกิดโดนคมเเฝกของหนุ่มบ้านอื่นกลับมาชนิดชอกช้ำดำเขียวมาละก็ไม่ยากอะไรเลยเเค่เอาน้ำพระพุทธมนต์ของท่านเเละขี้ธูปนั่นเเหละผสมเข้ากันเเล้วก็ทาถูๆ เเก้ชอกช้ำได้ดีนักเเล
    ปีตกสิณ ความสามารถของ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง นั้น นับได้ว่าน่าทึ่ง น่าเลื่อมใสศรัทธา โดยเฉพาะหลวงพ่อวงศ์ ระยอง ท่านมีความสามารถยิ่งรูปหนึ่งในวงการพระสงฆ์ไทย ความชำนาญของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง เท่าที่ศึกษามาทั้งหมด ดูเหมือนว่าท่านกระทำได้ทุกอย่าง เเละมีความชำนาญเสียด้วย ปีตกสิณ คือ การเพ่งสีเหลือง เเล้วอธิฐานจิตให้กลายสภาพเป็นอย่างอื่นนี้ ในประวัติของท่านได้กล่าวไว้ว่า คราวใดถ้ามีพระสหธรรมิก ผู้สนิทชื่นชอบกันเดินทางมาเยี่ยมเยือน หรือมาเพื่อเเลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันนั้น หลวงพ่อวงศ์ ระยอง มักจะทำอะไรพิเศษๆให้ดู เเละโอกาสนี้บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ปรนนิบัติก็พลอยเป็นบุญตาไปด้วย ดังคราวนี้ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ท่านได้หยิบใบพลูสดๆ สีเขียวมาจากเชี่ยนหมาก เเล้วก็วางไว้บน ขวามือ มืออีกข้างหนึ่งมาประกบไว้ ปากก็บริกรรมคาถา มือท่านก็ถูใบพลูไปมา ครู่เดียวเท่านั้นความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือใบพลูที่สีเขียวสดนั้นบัดนี้ได้กลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามไปเสียเเล้ว ท่านส่งไปให้พระสหธรรมิกชม ส่งไปดูกันรอบๆ กลับมาถึง ท่านเเล้ว ท่านได้โยนลงกระโถนพร้อมพูดว่า นี่มันเป็นของไม่จริง เราสร้างขึ้นเอง อำนาจของปีตกสิณ สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ใจปราถนา นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์ทั้งพระเณรฆราวาส ก็ยังได้ดูของวิเศษหลายอย่างอีกด้วย เช่น หลวงพ่อวงศ์ท่านเอาผ้าเช็ดปาก เช็ดน้ำหมาก เพราะท่านฉันหมากพลู มาถือ บริกรรมชั่วครู่เดียวท่านก็โยนผ้าลงไป กลายเป็นตะขาบตัวเขื่อง คลานวนเวียนไปมา บางคราวท่านก็เอาผ้าอีกนั้นเเหละ เสกบริกรรมชั่วครู่เดียว กระต่ายสีขาววิ่งไปมาทั่วกุฏิของท่านเเละนี่คือความจริงที่หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้กระทำให้เกิดขึ้นมาเเล้วเเต่อดีต
    รู้มรณกาล มีเรื่องที่จะเล่าเเทรกไว้ในตอนนี้เกี่ยวกับ เรื่องมรณภาพของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง คือ ก่อนมรณภาพดูหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ชรามาก เพราะเป็นผู้ที่บากบั่นทำการงานหนักมาเเต่อายุน้อย เเม้บวชเเล้วก็ทำงานในด้านพัฒนาวัด ทั้งเมื่อได้รับเเต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะเเขวงเเละพระอุปชฌาย์ ตลอดจนเมื่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ก็มีกิจนิมนต์ต่างๆ ทั้งในด้านบวชกุลบุตรซึ่งจะต้องเดินทางรอนเเรมไปในที่ต่างๆทั้งใกล้เเละไกล ประกอบกับการเดินทางในสมัยนั้นไม่มียานพาหนะที่จะอำนวยความสะดวกเช่นในปัจจุบันนี้ ต้องใช้เกวียนไปจึงเหน็ดเหนื่อยมาก ก่อนหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมรณภาพไม่นาน ท่านจะพูดว่า ใบไม้เหลืองเเล้วก็ต้องร่วง ใบอ่อนก็ผลิเเตกขึ้นมาเเทน เป็นธรรมดาของโลก วันสองวันกูก็จะสบายเเล้ว มอบวัดให้คุณดิ่ง ครอง 2 วัดคือ วัดบ้านค่าย เเละ วัดไผ่ล้อม
    ดูหลวงพ่อวงศ์ ระยอง จะทราบมรณภาพของท่าน คือหลังจากได้ปรารถถึงความตายเเล้ว ท่านก็จัดการกับลูกศิษย์ของท่านชื่อ นายไหล ซึ่งมาอยู่วัดกับหลวงพ่อตั้งเเต่อายุ 5 ขวบ จนถึง 13 ขวบ โดยให้นายไหลไปอยู่กับหลวงพ่อทบ วัดกะบกขึ้นผึ้งเป็นการจัดการเรื่องของศิษย์ที่ท่านเป็นห่วงอยู่เป็นที่เรียบร้อย ในวันมรณภาพนั้น หลังจากฉันเช้าเเล้ว ท่านพูดพึมพำว่า ถึงเวลาเเล้วก็กลับไป เเล้วสั่งว่า ถ้าท่านมรภาพเวลาปลงศพให้ใส่เปลือกข่อยลงไปด้วย หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ถือพิมพ์ยา ไปกดพิมพ์เป็นลูกกลอน เมื่อกดพิมพ์ได้พอสมควรเเล้วก็มานั่งปั้นเป็นลูกกลอน ขณะที่ปั้นอยู่นั้นหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั่งตะเเคงมรณภาพด้วยอาการสงบ ตรงกับที่หลวงพ่อเคยปรารถไว้ทุกประการ ในการปลงศพของหลวงพ่อวงศ์ ระยอง นั้น เมื่อจุดไฟประชุมเพลิงปรากฎว่าจุดไฟไม่ติด ได้พยายามจุดกันหลายหนก็ไม่ติด จนนายไหลซึ่งเป็นศิษย์นึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ก่อนมรณภาพ จึงไปถากเปลือกข่อย มาสุมไฟจึงติดเเละประชุมเพลิงได้ ในขณะที่ไฟกำลังลุกอยู่นั้น บรรดาผู้ที่มาร่วมกันประชุมเพลิง ได้เห็นไก่ขาวบินจากทางทิศเหนือผ่านซุ้มประตู ข้ามเมรุ บินหายเข้าไปกุฏิหลวงพ่อ จากเหตุที่ไก่ขาวบินเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อนั้นเป็นนิมิตทำนองบอกใบ้ไว้ว่า ถัดจากหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง จะมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษอีกท่านหนึ่งมาอยู่ที่วัดบ้านค่าย นั้นก็คือหลวงพ่อดิ่งนี่เอง ซึ่งเป็นศิษย์องค์เเรกที่หลวงพ่อวงศ์ ระยองอุปสมบทให้

    รวมสิริอายุของ หลวงพ่อวงศ์ ระยอง หรือ ท่านพระครูวิจิตรธรรมานุวัติ เเห่งวัดบ้านค่าย ได้ 83 ปี รวมพรรษา 59 ปี
    หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ระยอง ได้อำลาชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยลำเค็ญไปเเล้ว ฝากไว้เเต่ความดีมีอุปาระเเก่ญาติโยมได้ระลึกถึงอย่างไม่มีวันลืม

    ** อนุญาติให้ข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์ ทรูอมูเล็ต ดอทคอม สามารถ อ่าน คัดลอก ตัดแปลง ได้ตามที่ใจท่านต้องการ เพื่อความรู้และการศึกษา โดยไม่ต้องขออนุญาติ ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากสื่อสาธารณะที่มีประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้เสียเงินสักบาท และไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ให้คนเข้าเว็บเยอะ ๆ จะได้ขายของได้เยอะ ๆ มีโฆษณามาลงเยอะ ๆ และอีกอย่างหนึ่งเพราะว่าตายไปผมก็เอาไม่ได้ ถ้าหวงนักผมขอแนะนำว่าอย่านำมาลง ให้ปิดเว็บทิ้งไปเลยจะดีกว่าอย่าทำเลย
    :- http://www.trueamulet.com/profile/37_หลวงพ่อวงศ์-วัดบ้านค่าย
     

แชร์หน้านี้

Loading...