หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ /อุปกะ: ชายผู้พบพระพุทธเจ้าคนแรก แล้วเดินจากไป

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    __LpDamP1-LpJaran64k.jpg

    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่

    โดยได้รับการบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยน

    หลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก

    คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเนปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ

    ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชาโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อนลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” การปรากฏกายธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึก” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
    :- https://www.gotoknow.org/posts/392332
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    อาจารย์ยอด : หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม ผจญผีโพง [ผี]

    AKedOLQ-Qg3T_QbpjawF0wX7bJd-9OaqebagInBwV7wV-Q=s48-c-k-c0x00ffffff-no-rj.jpg
    อาจารย์ยอด

    124,439 views Dec 9, 2021
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    เปิดดูไฟล์ 5830887
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม

    วัดป่าสันติธรรม (วัดป่าน้ำภู)
    ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย

    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม สมณะผู้มีจิตตั้งมั่นทายาทธรรมหลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่พัน ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแห่งวัดป่าน้ำภู อ.เมือง จ.เลย เดิมทีท่านเคยเรียนวิชาคาถาอาคมจนชำนิชำนาญมาตั้งแต่เป็นสามเณร ต่อเมื่อบวชศึกษาธรรมอยู่กับ หลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านก็ทิ้งวิชาเหล่านั้น ตั้งใจปฏิบัติตามแนวทางพระบรมศาสดา หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม เป็นพระเถระที่ชาวจังหวัดเลยให้ความเลื่อมใสศรัทธา เป็นพระเถระผู้ใหญ่สายคณะธรรมยุต เป็นพระที่เคร่งครัดในการวัตรปฏิบัติ

    หลวงปู่พัน เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ ที่บ้านนาโคก ต.นาอ้อ ปัจจุบันเป็น ต.ศรีสองรัก อ.เมือง จ.เลย โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพา และนางเฟือย ไม่ทราบนามสกุล เป็นบุตรคนโตในจำนวน ๖ คน

    เมื่อตอนอายุยังน้อย ท่านได้บรรพชา เป็นสามเณรที่มหานิกาย ณ วัดโพธิ์ศรี บ้านนาโคก ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ และเดินทางไปเรียนหนังสือที่ วัดศรีจันทร์ บ้านนาอ้อ ต.นออ้อ จ.เลย มี ครูบามูล เป็นครูบาอาจารย์สอนหนังสือ

    ซึ่งในระหว่างบวชเป็นสามเณร ท่านมีโอกาสได้เคยติดตามครูบามูลเดินทางไปที่เมืองทุ่ง จ.ล้านช้าง ประเทศลาว เพื่อไปศึกษาวิชาอาคมกับหลวงปู่ยาครูน้อย ในระหว่างที่อยู่กับหลวงปู่ยาครูน้อยนี้ ท่านได้ติดตามท่านไปโปรดญาติโยม ที่เมืองปลา ประมาณ ๑ ปี ก็เดินทางกลับจังหวัดเลยและสามารถสอบนักธรรมตรีได้

    ในระหว่างที่ท่านติดตามหลวงปู่ยาครูน้อยไปที่เมืองปลา ประเทศลาวในครั้งนี้ ทำให้ท่านเห็นถึงความไม่ดี ไม่งามเกี่ยวกับการบูชาผี เพราะช่วงที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ยาครูน้อยนั้น ท่านได้พาสามเณรพัน ไปปราบผี ที่เมืองปลาด้วยเหตุที่ว่า ในช่วงนั้นเกิดมีคนตายจำนวนมาก จึงมีศรัทธาชาวเมืองปลา มาขอบารมีหลวงปู่ยาครูน้อย ไปโปรดช่วยขับไล่ผีเจ้าที่ ที่มาเอาชีวิตคนในเมืองปลาแห่งนี้ (ซึ่งในเมืองปลานี้คนบูชาผี) โดยมีคนมานิมนต์ท่านในช่วงนี้คือ สิบตรีจันทร์เป็นหัวหน้ามานิมนต์ท่านไป

    [​IMG]
    หลวงปู่ยาครูน้อย
    หลวงปู่ยาครูน้อย ในสมัยนั้น มีชื่อเสียงด้านวิชาอาคม เป็นที่เลื่องลือถึงขนาดได้รับนิมนต์ให้ไปนั่งอธิษฐานจิตวัตถุมงคลที่กรุงเทพ เพื่อแจกทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเลยทีเดียว ตอนท่านบวชเป็นเณรนี้ ท่านเล่าประสบการณ์ที่อยู่เมืองปลาว่า “ท่านเคียดแค้นและไม่ชอบการบูชาผี เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วยังมีโทษกับผู้บูชาอีก” ซึ่งในระหว่างบวชเณรนี้ หลวงปู่พันก็ได้ร่ำเรียนวิชา อาคมต่างๆ กับหลวงปู่ยาครูน้อยมาพอสมควร

    ท่านกล่าวว่า…“การนับถือผีเป็นที่พึ่งนั้น เราพึ่งได้จริงหรือ ผีนำความสุขความเจริญมาให้เราได้จริงหรือ คนเราส่วนมากมักจะไม่เข้าใจ มักจะถือตามกันมา ฟังตามกันมา สืบต่อกันมา ปฎิบัติต่อกันมา การบูชาผีผลสุดท้ายก็ผีนั้นแหละ กินหัวตัวเอง กินลูกบ้านหลายเมืองของตัวเอง ถึงขนาดนั้น ก็ยังไม่รู้สึกสำนึกตัวเองได้ ยังพากันนับถืออยู่ อย่างที่ย้านเมืองปลาเป็นตัวอย่าง ผีเจ้าบ้านอยากกินอะไร ต้องการให้ทำอะไรแบบไหน ก็ทำตามหมดแต่ผีเจ้าบ้าน ยังมาทำให้ลูกบ้านหลานเมือง ล้มตายกันออยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ของดี ผีนั้นคำว่าผีแล้ว พากันกลัวเอานักเอาหนา แต่ก็ยังเอาผีมาเป็นที่พึ่ง มากราบมาไหว้มาสักการบูชากันอยู่ อย่างนี้แหละที่ท่านว่าคนโง่พึ่งผี คนดีพึ่งธรรม”

    หลังจากเณรพัน (หลวงปู่พัน) ท่านกลับมาจากเมืองปลาแล้วท่านก็สามารถสอบนักธรรมตรีได้ จนท่านบวชเณณได้ ๒-๓ ปี จนอายุ ๑๕ ท่านก็ได้ลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดา ทำไร่ ไถนา จนอายุครบ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุครั้งที่หนึ่ง ที่วัดศรีจันทร์ บ้านนาอ้อ โดยมี พระครูวิจารณ์สังฆกิจ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์นำน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชได้ ๑ พรรษา ท่านก็ได้ลาสิกขาออกมา และแต่งงานกับ นางคำพุ มีตา มีบุตรทั้งหมด ๓ คน คือ นางหนูหลั่น บุญมา นางบุญเรียน ดาสา และ นายวิเชียร วรินทรา

    [​IMG]
    หลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ
    จนในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นางคำพุ ผู้เป็นภรรยาได้เสียชีวิต รวมอายุ ๓๘ ปีเศษๆ นายพัน ได้เลี้ยงบุตรธิดาเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ นายพันได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกเป็นครั้ง ๒ ฝ่ายธรรมยุติ เมื่ออายุ ๔๖ ปี โดยได้อุปสมทบ ณ วัดศรีสุทธาวาส อ.เมือง จ.เลย โดยมี พระเทพวราลังการ (หลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระสมุห์ไกรศรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการธีระพงศ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฐิตธัมโม” แปลว่า “ผู้ตั้งอยู่ในธรรม

    [​IMG]
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าสันติธรรม (วัดป่าน้ำภู) ในวัยพรรษายังไม่มาก
    [​IMG]
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าสันติธรรม (วัดป่าน้ำภู)
    ◎ อยู่ที่ถ้ำผาปู่ กับหลวงปู่คำดี ปภาโส
    หลังจากที่ท่านบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดถ้ำผาปู่ ฝึกอบรมกรรมฐาน ทำสมาธิภาวนาเดินจงกรมอยู่กับ หลวงปู่คำดี ปภาโส และ หลวงพ่อสีทน สีลธโน (ศิษย์ผู้ใหญ่หลวงปู่คำดี และเป็นพระพี่เลี้ยงท่าน) โดย หลวงปู่คำดี ท่านให้โอวาทกับหลวงปู่พัน ครั้งแรกว่า..

    “ท่านเคยเรียนวิชาอาคมอะไรมาก็ตาม ให้ทิ้งให้หมด หันมาสวดมนต์ ไหว้พระ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเท่านั้น”

    หลวงปู่พันในขณะเป็นพระภิกษุบวชใหม่นั้น ท่านก็ได้ละทิ้งวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาจาก หลวงปู่ยาครูน้อยทั้งหมด แล้วหันไปบำเพ็ญภาวนาเอา “พุทโธ” เป็นหลักใจในการภาวนาเพียงอย่างเดียว

    ท่านเล่าว่า หลวงปู่คำดี ท่านจะสอนว่า…ให้ตั้งอกตั้งใจทำความเพียร นั่งภาวนาเดินจงกรมให้มากๆ เวลากลางคืนไม่ให้นอนก่อนสี่ทุ่ม เวลากลางวันไม่ให้นอนก่อนเที่ยง เวลาเช้าให้ตื่นตีสี ให้มีเวลาทำความเพียรให้มากๆ อย่าปล่อยให้วันคืนปีเดือนล่วงไปเสียไป
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    (cont.)
    -ปภาโส.jpg
    หลวงปู่คำดี ปภาโส

    หลวงปู่พัน ท่านก็ปฎิบัติตามคำสอนของ หลวงปู่คำดี อย่างเคร่งครัด ตั้งหน้าตั้งตาทำความพากความเพียรอย่างเต็มกำลัง ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยทั้งกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่งนอน ก็พยามทำอยู่อย่างนั้น เพราะจิตใจของท่านเคยได้รับความทุกข์ ความทรมานในทางโลกมาอย่างหนักหน่วงมาแล้ว ท่านจึงได้มุ่งมั่น ต่อความพรากความเพียร ภาวนาพุทโธๆ ๆ ๆ เท่าไรจิตก็ไม่อยู่กับพุทโธ จิตใจมีแต่แล่นไปตามความคิดตามอารมณ์อยู่อย่างนั้น

    ท่านว่า..ด้วยครั้งบวชเข้ามาเริ่มปฎิบัติใหม่ๆ ท่านเกือบจะเป็นบ้าไปเลย อย่างนั้นแหละ เพราะจิตไม่ยอมอยู่กับพุทโธ เสียทีเพราะอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามาขวางกั้นตันใจ พาให้จิตใจหลวงปู่ท่านเศร้าหมอง ซึ่งในช่วงนี้ท่านมีความกังวลอยู่สี่อย่าง คือ

    ๑. ห่วงหาอาลัยถึงอดีตโยมภรรยาที่ล้มหายตายจากไปจิตใจในช่วงนั้คิดว่ายังอายุน้อยๆไม่หน้าตายเลย
    ๒. ลูกยังเรียนไม่จบ ไม่น่าหนีมาบวชเลย หน้าจะรอให้ลูกเรียนจบมีงาน มีการ เลี้ยงดูตนเองได้เสียก่อน
    ๓. โกรธแค้น ชิงชัง ขโมยที่มาเอาควายไป
    ๔. มีความรักในหญิง

    อารมณ์ทั้ง ๔ นี้ที่ทำให้ท่านอัดอั้นตันใจ ไม่เป็นอันภาวนา ไม่ให้จิตอยู่กับพุทโธจนเกือบจะเป็นบ้า แต่พอท่านปฎิบัตินานเข้าจิตของท่านก็เริ่มสงบลง ปัญญาของท่านก็เกิดผุดขึ้นเกิดขึ้น คงเป็นเพราะวาสนาบารมีเก่าที่หลวงปู่พัน ท่านเคยได้สร้างสมอบรมมาแล้วแต่ปุเรชาติหนหลังครั้งก่อน เข้ามาช่วยดลบันดาลให้จิตใจของหลวงปู่พัน ท่านคิดออกได้คิดแก้ไขจิตใจของท่านที่เป็นห่วงกังวลอยู่นั้นให้สิ้นไป คือ

    ๑. อารมณ์ คิดห่วงอาลัยภรรยาที่ตายไป ท่านพิจารณาว่า เอ๋…แล้วเราจะไปเอาแน่อะไรกับความตายได้ เพราะคนเราทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องตายกันทั้งนั้น บางคนตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็มีหรือบางคนคลอดออกจากครรภ์แล้วตายก็มี หรือบางคนเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วตายก็มีแล้วจะเอาอะไรแน่นอนครับความตาย

    ๒. อารมณ์ที่เข้ามาครอบงำจิตใจของท่านในตอนนั้น คือห่วงลูกว่าลูกยังเล็กอยู่ ยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย ท่านกลับหนีมาบวชก่อน ท่านพิจารณาว่า..

    “เอ๋..แล้วบางผู้บางคน พ่อแม่เขาตายหนีไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่เป็นกำพร้ากำพลอย อาศัยอยู่กับแม่ป้า น้าสาว ลุงอาชาวบ้านเลี้ยงดูมาตั้งแต่เขาเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่ เขายังใหญ่มาเป็นผู้เป็นคนได้ หากวาสนาเขาดีเขาเคยทำดีมาแต่ในชาติหนหลัง ก็คงเติบใหญ่มาได้เป็นคนดี แต่ถ้าเขาเคยทำไม่ดีมาก่อนก็คงสุดแท้แต่วาสนาที่เขาทำมาก่อน เพราะทุกคนต่างมีเวร มีกรรมติดตามกันมาทุกคน”

    ๓. อารมณ์ที่มีความเครีดแค้น โกรธพวกขโมยที่มาลักควายไปนั้น ท่านก็พิจารณาแก้อารมณ์ใจว่า ถ้าเราไปฆ่าเขาทิ้งแล้ว ก็เหมือนห่าหมาตายนั้นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อันใด ลังแต่จะเป็นเวรเป็นกรรมสือต่อไปในภายภาคหน้าอีกไม่จบไม่สิ้น เราเองในชาติก่อนคงเคยไปลักขโมยของเขาไปชาตินี้เขาจึงมา จองเวร จองกรรมต่อ แล้วท่านก็อโหสิกรรมพร้อมทั้งแผ่นเมตตาไป”

    ๔. อารมณ์นี้หนักไม่น้อยเหมือนกัน คือรักชอบหญิง อารมณ์นี้คงเป็นเพราะวาสนาเก่า บุพเพสันนิวาสชาติเก่าก่อนภายหลังว่าคนเรานั้นเคยได้เป็นคู่ผัวตัวเมียกันมาที่เคยสร้างสมกันมาก่อน ท่านจึงพิจาณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องการเวียนวาย ตายเกิดมาพิจาณา ว่าถ้าเรายังหลงทาง ไม่เร่งรัดปฎิบัติ มัวแต่สนใจในเรื่องโลภ โกรธ หลงสุดท้ายเราก็ต้องมาเวียนเกิด เวียนตาย เวียนทุกข์อยู่ร่ำไป

    ด้วยอุบายธรรมที่เกิดขึ้นกับท่าน โดยแก้อารมณ์ใจที่กังวนได้สี่อารมณ์นี้ทำให้จิตของท่านเลิกฟุ้งซาน จิตใจเริ่มสงบลง

    ท่านจึงมาพิจารณาว่า ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ความจริง และ ความจำนั้นต่างกันมาก ความรู้ความเห็นที่ เห็นความจริงด้วยจิต ด้วยใจนั้นเราจะเชื่อเราจะซึ้งอย่างถึงจิต ถึงใจเราอย่างมั่นคงไปจนตาย ส่วนความจำนั้น คือว่าเราอ่านมา จำมาจากตำรับ ตำราหรือฟังจากครูบาอาจารย์นั้น ถึงจะเชื่อก็เชื่ออย่างไม่ซึ้งถึงจิตถึงใจจริง

    -ฐิตธัมโม-กับ-หลวงปู่ท่อน-ญาณธโร.jpg
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าน้ำภู จังหวัดเลย
    กับ หลวงปู่ท่อน ญาณธโร อดีตเจ้าอาวาส วัดศรีอภัยวัน จังหวัดเลย
    ◎ เล่าเรื่องภาวนาให้พระเณรฟัง
    เมื่อครั้งหลวงปู่พัน ปฎิบัติธรรมเริ่มเห็นความจริง เห็นอรรถ เห็นธรรมแล้ว ท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้พระเณรฟัง เพราะมันกินใจลึงซึ้งถึงใจท่านมาก ส่วนพระเณรพอได้ยินได้ฟังท่านเล่า ก็สักแต่ได้ยินเท่านั้น ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เพราะมิใช่เรื่องของคนอื่น

    หลังจากหลวงปู่พัน ท่านได้ไปทำกิจวัตรประจำวาระ คือ ไปสรงน้ำและไปทำความสะอาดที่บริเวณกุฎิของหลวงปู่คำดี ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน วาระสรงน้ำให้หลวงปู่คำดีนั้น ๗ วันจะเวียนมาถึงหลวงปู่ครั้งหนึ่ง

    พอสรงน้ำหลวงปู่เสร็จ หลวงปู่คำดีท่านมานั่ง วาระวันนั้นว่างจากญาติโยมที่มากราบท่าน หลวงปู่คำดี ท่านจึงได้โอกาสอารมพระเณร คำพูดที่ท่านพูดเปรยๆ ออกมาทีแรกนั้น ท่านได้พูดขึ้นว่า…

    “ผู้ใดนำเรื่องของตัวเองมาเว้า ผู้นั้นเอาความโง่ของโตมาขาย”

    ท่านได้พูดขึ้นอย่างนี้แหละ พอหลวงปู่พันท่านได้ยินดังนั้น ในตอนนั้นท่านจึงเกิดความคิดขึ้นว่า เอ๋…ที่หลวงปู่คำดีพูดนั้น ท่านพูดให้ใครน่อ ท่านคงพูดให้เรากระมัง

    “เอ๋..แล้วเราก็ไม่เคยได้ไปเล่าให้ท่านฟัง แต่ท่านมารู้ได้อย่างไร หรือมีพระเณรไปเล่าให้ท่านฟังหนอ”

    และตั้งแต่นั้นหลวงปู่พัน ท่านก็ไม่เคยเล่าเรื่องผลการปฎิบัติของท่านให้ใครฟังอีกเลย เพราะเรื่องพวกนี้ครูบาอาจารย์ท่านไม่เล่าให้ใครฟังง่ายๆ หรอก เพราะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล

    จิตได้ ฌาน
    พอจิตของหลวงปู่พัน สงบจากอารมณ์ ๔ อย่างที่ครบงำ ทำให้จิตใจ ของหลวงปู่เป็นทุกข์อยู่ในเวลานั้นได้จืดจางบางเบาจากจิตใจลงไปแล้ว จึงได้นำเอาเรื่องจิตสงบนี้ มาสนทนากับพระสหธรรมิก ที่ปฎิบัติอยู่ด้วยกันฟัง

    พอหมู่เพื่อสหธรรมิกได้ยินดังนั้นเข้า พระบางรูปก็ตอบว่า จิตสงบไม่ได้เป็นอย่างนี้ จิตสงบนั้นต้องสงบแน่นิ่งไปเลยซิ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    (cont.)
    หลวงปู่พันตอบว่า… แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมนั้นมันสงบจากอารมณ์ที่เข้ามาครอบงำจิตที่ทำให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวายใจนั้นสงบลง

    ซึ่งพระเพื่อนสหธรรมิกนั้น ไม่เข้าใจในความสงบของหลวงปู่ เพราะไปเข้าใจว่าการสงบเกิดขึ้นจากอารมณ์สมาธิธรรมเท่านั้น แต่พอออกจากสมาธิแล้ว ความวุ่นว่ายก็เข้ามาเหมือนเดิม เมื่อตกลงกันไม่ได้เช่นนั้น ก็ตัดสินใจไปถามหลวงปู่คำดี เพื่อให้ท่านชี้แนะ หลวงปู่พันกราบเรียนหลวงปู่คำดีว่า..

    เริ่มแรกปฎิบัตินั้น จิตใจของกระผมไม่มีความสงบเลย มีแต่ความวุ่นวายใจ แต่พอเริ่มปฎิบัติ จิตเริ่มพิจารณาธรรมหาอุบายธรรมมาระงับ บางที่เดินจงกรมอยู่ เกิดนิมิตเหมือนตัวเองอยู่ด้านหน้า แต่พอเดินไปนิมิตนั้นกลับหายไป ซึ่งแรกๆ ก็เกิดความกลัวว่าตัวจะหายไปแต่พอตั้งสติดู ก็รู้ว่านี้คือนิมิต นิมิตนั้นก็หายไป

    จากนั้นจิตกระผมก็สงบจากความวุ่นวายฟุ้งซ่านทั้งหลายได้ จิตของกระผมเป็นอย่างนี้แหละกระผม พอเล่าจบ หลวงปู่คำดี ท่านก็พูดขึ้น พร้อมกับชี้นิ้วมือเข้ามาที่ตรงหัวใจท่าน แล้วท่านก็พูดว่า

    “มันเกิดจากนี้ ออกไปจากนี้ แล้วมันก็กลับมาอยู่นี้ดังนั้นแหละ”

    ท่านเลยมาพิจารณาว่า.. นี้แหละเราไม่เคยเกิด เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจึงเกิดอัศจรรย์ใจ ทั้งๆ ที่มันก็เกิดขึ้นจากใจเรานี้แหละ จากนั้นหลวงปู่คำดี ท่านพูดต่อว่า “เออ อย่างนี้แหละดี มาพูดให้ครูบาอาจารย์ฟัง ให้หมู่ให้พวกได้ยินได้ฟังนี้แหละ” แล้วหลวงปู่คำดีพูดต่อไปว่า “นั้นแหละมันบ่ตั้งใจเฮ็ด ตั้งใจทำกันบ่เคยได้ยินพระเณร รูปใดองค์ใด มาพูด มาเล่าให้ฟังจักเทื่ออย่างนี้แหละ” พอครูบาอาจารย์อธิบายให้ฟังแล้วเราถึงได้เข้าใจแล้วท่านยังได้พูดต่อไปอีกว่า..

    “เออ….ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่า ได้ ญาณ แล้ว ให้รักษาไว้ให้ดี อย่าให้ฌานเสื่อมนะ “ฌาน” นั้นคือ ที่อยู่ของจิต จิตถึงมีที่อยู่แล้ว”

    เที่ยววิเวก ขอฟังธรรมหลวงปู่เทสก์
    ครั้งหนึ่ง องค์หลวงปู่คำดี ปภาโส ได้กล่าวกับพระเณรว่า พระสมัยนี้ไม่เหมือนพระสมัยก่อน เวลาออกพรรษาจะเที่ยงธุดงค์ไปแสวงหาธรรม ตามป่าตามเขา ไปขอข้ออรรถ ข้อธรรม จากครูบาอาจารย์ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ขาว กัน

    หลวงปู่พัน เมื่อท่านได้ยิน เช่นนั้น ท่านก็ขอโอกาสอนุญาตหลวงปู่สีทน และ หลวงปู่คำดี ออกธุดงค์ไปเพื่อแสวงหาธรรมะ จากครูบาอาจารย์สมัยนั้น โดยหลวงปู่พัน หลังจากได้รับอนุญาตจากครูบาอาจารย์ ทั้งสองแล้ว ท่านก็มุ้งหน้าเที่ยววิเวก ไปกราบนมัสการ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เพื่อขอข้อธรรมมาปฎิบัติก่อน

    เมื่อครั้งถึง วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย เวลาบ่ายกว่าๆ พักผ่อนสรงน้ำสรงท่า ตอนเย็นจึงเข้าไปกราบ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    [​IMG]
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง
    หลวงปู่เทสก์ ท่านจึงถามไถ่ถึงที่มาที่ไป มายังไงจะไปที่ไหน หลวงปู่พันจึงกราบนมัสการเล่าให้หลวงปู่เทสก์ ฟังว่า… หลวงปู่คำดี ท่านแนะนำให้มาขอฟังธรรมจากหลวงปู่

    เมื่อหลวงปู่เทสก์ ท่านได้ยินดังนั้น ท่านก็ถามหลวงปู่พัน เกี่ยวกับเรื่องสมาธิที่ทำอยู่ ว่าเดี๋ยวนี้จิตเป็นอย่างไร มันอยู่อย่างไร มันไปมาอย่างไร มันได้รับความสงบมากน้อยแค่ไหน

    หลวงปู่พัน ท่านจึงเล่าตามความจริง ที่ท่านเป็นถวายให้ หลวงปู่เทสก์ ท่านทราบทุกประการ

    และหลวงปู่เทสก์ ท่านก็ให้ข้อธรรมหลวงปู่พันว่า….จิตกับใจนั้นเป็นคนละอันกัน แต่ไปๆ มาๆ ก็อันเดียวกันนั้นแหละ จิตอันใด ใจก็อันนั้น เป็นข้อธรรมสั้นๆ แต่มีความหมายมากมายมหาศาล สำหรับพระที่มุ่งปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นทางจิตใจ เพื่อเอาใจออกจากทุกข์จากวัฎฎสงสาร

    อุปทานอาบัติ
    ครั้งหลวงปู่พัน ท่านเที่ยววิเวกธุดงค์อยู่นั้น ครั้งหนึ่งท่านเล่าว่า ท่านเคยมีอาการ อาการหนึ่งเวลาท่านทำผิดอาบัติเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งท่านกล่าวว่า..

    “หลวงปู่คำดีเคยสอนว่า บ่อนใดมีผีฮ้าย หมู่เฮาไปอยู่ดี มักจะได้กำลัง คือว่าถ้าเราทำสิ่งใดที่ไม่ดี ไม่ถูกไม่ควรแล้ว พวกเทพ พวกภูมิเขาจะมาช่วยตักเตือนให้เราได้รับความเข้าใจในการประพฤติปฎิบัติยิ่งขึ้น สำหรับผู้มุ่งมั่นจะทำความเพียร เพื่อจะเอาตัวให้พ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร”

    หลวงปู่พัน ท่านกล่าวว่า..

    “อาการแปลกที่ว่านี้ เวลาที่ท่านเผลอทำอาบัติไปจะมีอาการได้กลิ่นเหม็นๆ เหมือนไฟไหม้ ติดจมูกอยู่เสมอๆ แต่เมื่อแก้อาบัติอย่างถูกต้องแล้ว กลิ่นนั้นก็จะหายไปเอง”

    โดยในช่วงที่หลวงปู่พัน ท่านเที่ยวธุดงค์บางครั้งท่านอาจจะเผลอทำอาบัติได้ โดยไม่ได้ตั้งใจ โดยท่านบอกว่าท่านเคยมีอาการแบบนี้ถึง ๓ ครั้ง

    ครั้งแรกท่านธุดงค์ไปกับหลวงปู่พา หลวงจากลับจากงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ผางที่ขอนแก่นแล้ว ซึ่งหลวงปู่พาก็ชักชวนท่านให้ไปเที่ยวธุดงค์ด้วยกัน ซึ่งหลวงปู่พา ท่านจะพาไปพระบาทภูพานคำ

    หลังจากที่ได้เดินทางมาพอสมควรหลวงปู่พันและหลวงปู่พา ก็ได้หยุดพักที่ภูหลวง ซึ่งบริเวณนั้นมีแม่น้ำทบไหนผ่าน ซึ่งหลวงปู่พาและหลวงปู่พัน ก็แยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย หลวงปู่พัน ท่านก็ลงไปสรงน้ำที่แม่น้ำทบ จากนั้นท่านก็ขึ้นมาหาที่พักผ่อน ซึ่งในบริเวณนั้น ท่านเห็นมีถ้ำอยู่ ถ้ำหนึ่ง ท่านจึงตัดสินใจพักที่ถ้ำนี้ในคืนนี้

    แต่พอท่านเข้าไปสำรวจในถ้ำก็พบว่ามี อุปกรณ์สูบฝิ่นอยู่ หลังจากเขาสูบเสร็จแล้วเขาจึงทิ้งไว้ตรงนั้น เมื่อครั้งนั้นหลวงปู่พัน พรรษายังน้อย ไม่ค่อยรู้ข้อวัตรอะไรมากนัก ได้นำอุปกรณ์สูบฝิ่นนั้นมาดู ซึ่งก็เห็นว่ายังมียาฝิ่นยัดเข้าไปติดอยู่ในรูนั้น ก็เลยหยิบมาดมดูก็รู้ว่าเป็นฝิ่น ท่านก็คิดว่าดีแล้วเพราะสมัยท่านเป็นเด็ก ท่านเคยเห็นยายทวดของท่านนำฝิ่นมายัดใส่กระเทียม กินแก้ท้องร่วงดีนัก อีกอย่างนำมาดมก็แก้หวัดได้ดี

    ท่านจึงหยิบมากองๆ ไว้ที่บริเวณที่ท่านพัก ครั้งท่านกำลังทำความสะอาดบริเวณที่พักอยู่ก็เกิดปวดปัสสาวะขึ้น ท่านจึงเดินลงไปปัสสาวะ ด้านล้างของที่พัก พอท่านเข้ามาอีกทีท่านก็ลืมไปแล้วว่า ท่านได้เก็บฝิ่นกองเอาไว้ แต่ท่านกลับคิดว่าเป็นขี้ตุ๊กแก ท่านจึงได้เก็บทิ้งทั้งหมด เมื่อโยนทิ้งไปแล้วจึงคิดออกทีหลังว่า “โอ๊ยยาฝิ่นนะเราจับโยนทิ้งไปเสียแล้ว” ท่านจึงกลับไปหาบริเวณที่โยนทิ้งปรากฏว่าหาเท่าไรก็หาไม่เห็น จึงคิดตำหนิตัวเองว่าไม่น่าหลงลืมเลย ยาฝิ่นเป็นยาดีแท้ๆ

    ท่านกล่าวว่า.. “อย่างนี้แหละพระบวชใหม่ยังไม่ทันเข้าใจ ยังไม่รู้ในสิ่งที่ถูกที่ผิด ทั้งๆ ที่ยาฝิ่นเป็นสิ่งที่ผิดศีล ผิดธรรมวินัยและทั้งผิดกฏหมายบ้านเมืองด้วย ถ้าตำรวจเขามาพบ ตรวจเจอเข้า เขาคงจะได้ไล่ให้สึกเอาหรือ”
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    (cont.)
    เมื่อพักที่ภูหลวงพอสมควรแล้ว ท่านก็ธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนไปพักอีกที ที่วัดป่าบ้านน้ำคิว อ.เมือง จเลย พอพักวิเวกอยยู่นี้นานเข้า ท่านก็เกิดอาการเหม็นขิว ขึ้นมาอาการเหม็นเริ่มทวีความรุ่นแรงขึ้น ไม่ยอมหายสักที ติดจมูกหลวงปู่อยู่นาน จนท่านบ่นกับหลวงปู่พาว่า…

    “ทำไมผมจึงเหม็นขิวที่จมูกไม่ยอมหาย เหมือนมีอะไรสักอย่างที่เหม็นในสมอง” ความเหม็นทวีความรุนแรงขึ้นจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ท่านกล่าวในภายหลังว่า..

    “นี้แหละพวกเทพ พวกภูมิเขาสอนให้เรารู้จักว่า เราทำผิดศีล แต่เราก็ไม่ยอมนึกออกสักที”

    จนกลิ่นเหม็นรุนแรงขึ้นกลายเป็นกลิ่นฝิ่น ท่านจึงนึกออกว่าท่านติดฝิ่นเสียแล้ว ท่านจึงได้แสดงโรจนะแสดงอาบัติต่อหลวงปู่พา ท่านกล่าวกับหลวงปู่พาว่า..

    “ที่ผู้ข้าได้กระทำลงไปและคอดไปแล้วนั้น เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทีนี้ตอนนี้ผู้ข้ารู้แล้วทราบและเข้าใจและจะไม่กระทำอีกต่อไป”

    จากนั้นมาอาการกลิ่งเหม็นก็หายไป หลวงปู่พัน ท่านกล่าวว่า.. ท่านเป็นแบบนี้อีกสองครั้ง โดยครั้งที่สองท่านเป็นตอนท่านไปผ่าไส้เลื่อน ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ซึ่งตอนนั้นท่านบอกว่า ตอนผ่าตัดท่านไม่รู้ตัว คงมีนักศึกษาแพทย์ผู้หญิงมาจับตัวของท่านทำให้หลังจากท่านฟื้นตัวจากการผ่าตัด ท่านก็ได้กลิ่นเหม็นแบบนี้เหมือนเดิม เหมือนมีกลิ่นเหม็นๆ ในสมอง

    จึงได้ไปตรวจกับหมอ หมอก็บอกว่าไม่มีอะไรหลวงปู่ “น่าจะอุปทานไปเอง” หมอจึงสั่งยาแก้แพ้ให้มากิน แต่ก็ไม่หาย ท่านจึงได้แสดงอาบัติกับหลวงปู่ฮ้อ ซึ่งเป็นคนจีนอายุมากแล้วมาบวช แต่ท่านปฎิบัติดี หลังจากแสดงอาบัติแล้ว อาการเหม็นขิวก็หายไป

    และท่านมาเป็นอีกครั้งตอนจำพรรษาอยู่ที่นาแห้ว โดยครั้งนี้ท่านหลงกินเนื้อควายไม่สุก ที่ญาติโยมนำมาถวายโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นผิดอาบัติครั้งนี้ ท่านก็มีอาการเหม็นขิวๆ เหมือนเดิม และก็ทวีแล้วรุนแรงมากขึ้น ติดจมูกโดยตลอด ท่านจึงได้แสดงอาบัติกับพระอาจารย์วิชัย แต่ก็ไม่หายเพราะพระอาจารย์วิชัย ก็ผิดอาบัติฉันเนื้อไม่สุกนี้เช่นกัน จึงแก้อาบัติให้กันไม่ได้ ในพรรษานั้นท่านทนทุกข์ทรมานกับกลิ่นติดจมูกนี้มาก

    อยู่ต่อมาท่านก็คิดออกว่า ยังมีพระอาจารย์สมบูรณ์ อยู่ที่ภูง้าง บ้านโคกผักหวาน อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ท่านจึงสั่งโยมให้ช่วยขับรถพาไปหาพระอาจารย์สมบูรณ์เพื่อแก้อาบัติให้ ครั้งไปถึงก็เล่าเรื่องนี้ให้พระอาจารย์สมบูรณ์ฟัง ท่านก็หัวเลาะแล้วบอกว่า “คงอุปทานไปเอง” แล้วท่านก็บอกว่าท่านไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อหลวงปู่พันท่านแสดงอาบัติต่อพระอาจารย์สมบูรณ์แล้ว อาการเหม็นขิวติดจมูกของท่านก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

    ◎ ครูบาอาจารย์ กับหลวงปู่พัน
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ครั้งเมื่อหลวงปู่พัน ฐิตธัมโม ท่านอาพาธเดินทางไปพักรักษาธาตุขันธ์ ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น

    -หลวงปู่ทุย-ฉนฺทกโร.jpg
    หลวงปู่ทุย (พระอาจารย์ปรีดา ฉันทกโร) วัดป่าดานวิเวก (วัดดงศรีชมภู)
    หลวงปู่ทุย (พระอาจารย์ปรีดา ฉันทกโร) วัดป่าดานวิเวก (วัดดงศรีชมภู) อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ ได้เข้าเยี่ยมอาการอาพาธหลวงปู่พัน ฐิตธัมโม และได้พูดกับลูกศิษย์ ลูกหาที่ดูแลท่านว่า..

    “ดูหลวงปู่ให้ดีๆ นะ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ ดูแลท่านดีๆ”

    ในทุกๆ ปีหลวงปู่พัน ท่านจะไปร่วมงานมุทิตาสักการะวันเกิด หลวงพ่อสมศรี อัตสิริ ในทุกๆ ปี เพราะท่านทั้งสองเคยจำพรรษาด้วยกัน ณ วัดเขาสวนกล้วย ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ซึ่งในปีนั้น ท่านได้จำพรรษากับ หลวงปู่จันทร์เรียน และ หลวงพ่อสมศรี

    ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยสนทนากับหลวงปู่อร่าม ซึ่งตอนนั้นศาลาใหญ่ยังไม่แล้วเสร็จ ท่านจะมานั่งรับแขกศรัทธาญาติโยมตรงที่มุงหลังคา ข้างกุฎิท่าน ท่านเคยพูด เปรยๆ ในระหว่างสนทนากันช่วงหนึ่งเกี่ยวหลวงปู่พันว่า… หลวงพ่อพันเพิ่นลูกศิษย์หลวงปู่คำดี เพิ่น(ท่าน) ปฎิบัติดีงาม จิตใจสว่างไสวปานแก้ว ซึ่งหลวงปู่พัน เคยจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่อร่าม สมัยแรกๆ ที่หลวงปู่คำดี ท่านมาสร้างวัดป่าบ้านน้ำภู
    -กันตสีโล-794x1024.jpg
    หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล วัดป่าสมบูรณ์ธรรม อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก
    หลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล หลวงปู่พันท่านให้ความเคารพมาก ท่านทั้งสองเคยเที่ยวธุดงค์ด้วยกันในหลายที่ หลายครั้ง หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม ท่านเคยกล่าวว่า…
    “นอกจากการปฎิบัติที่เคร่งครัดตามพระธรรมวินัยของหลวงพ่อสมบูรณ์ที่ดีงามแล้ว ท่านยังเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง ไม่ว่าจะพระด้วยกัน หรือ ลูกศิษย์ ลูกหา ท่านจะเอื้อเฟื้อและเมตตาด้วยอยู่เสมอ”
    -ฐิตธมฺโม-683x1024.jpg
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าสันติธรรม (วัดป่าน้ำภู)
    หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าน้ำภู (สันติธรรม) อ.เมืองเลย จ.เลย ละสังขารแล้ววันนี้ เมื่อเวลา ๐๓.๕๖ น. ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ สิริอายุ ๘๘ ปี ๒ เดือน ๒๒ วัน พรรษา ๔๓

    ที่มา :ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ http://plustimeday.blogspot.com/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2021
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    หลวงปู่ยิ้ม จันทโชติ

    หลวงตา

    64,170 views Nov 22, 2021
    หลวงปู่ยิ้ม จันฺทโชติ วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี ต้นตำรับ “ตะกรุดโลกธาตุ”
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    lpyimjanthachote.jpg
    ประวัติหลวงปู่ยิ้ม จันทโชติ วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี
    "หลวงปู่ยิ้ม จันทโชติ วัดหนองบัว " เป็นพระเถราจารย์ชื่อดังแห่งจังหวัดกาญจนบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองบัว (วัดศรีอุปลาราม) ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี และเป็นพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าที่มีสาธุชนเลื่อมใสศรัทธามาก ชาติภูมิ หลวงเฒ่าปู่ยิ้ม ท่านเป็นชาววังด้ง จ.กาญจนบุรี เกิดปีมะโรง เดือนห้า วันอังคาร พ.ศ.2387 โยมบิดา-มารดา ชื่อนายยิ่งและนางเปี่ยม บิดามารดาประกอบอาชีพค้าไม้ไผ่ล่องไปขายที่ปากอ่าวแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม เมื่อวัยเด็กท่านมีอุปนิสัยใจคอเป็นคนเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เป็นนักเลง พูดจริงทำจริง เด็กรุ่นเดียวกันหรือแก่กว่ายอมยกให้เป็นลูกพี่ ท่านได้เป็นกำลังช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพค้าไม้ไผ่ล่องไปขายทางปากอ่าว จนคุ้นเคยกับชาวแม่กลองเป็นอันดี

    ครั้นได้อายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี โดยมีพระอาจารย์กลีบ วัดหนองบัว เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์แดง วัดเหนือ และพระอาจารย์อินทร์ วัดทุ่งสมอ เป็นพระคู่สวด ได้รับฉายาว่า จันทโชติ เมื่อบวชเรียนแล้วเรียนอักษรขอม ภาษาบาลี มงคลทีปนี มูลกัจจายน์ พระมาลัย พระเจ้า 10 ชาติ ท่องสูตรสนธิจนช่ำชอง สามารถท่องจำพระปาฏิโมกข์สวดได้แต่พรรษาที่ 2 ท่านได้ศึกษาวิทยาคมกับพระอาจารย์ดีเชี่ยวชาญวิทยาคมหลายท่านด้วยกัน อาทิ หลวงพ่อพระปลัดทิม วัดบางนางลี่น้อย อ.อัมพวา, หลวงพ่อพ่วง วัดปากสมุทรสุดคงคา, หลวงพ่อกลัด วัดบางพรม อัมพวา และหลวงพ่อแจ้ง วัดประดู่ อัมพวา
    หลวงปู่ยิ้ม ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองบัวต่อจากหลวงพ่อกลิ่น ท่านได้ปฏิบัติทางวิปัสนาธุระจนมีชื่อเสียง และเป็นอาจารย์สอนทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ต่อมาท่านได้สร้างเครื่องรางเพื่อแจกจ่ายให้ผู้ที่ต้องการนำไปใช้ติดตัว เป็นที่พึ่งที่ระลึก หนึ่งในเครื่องรางที่มีชื่อเสียงของท่าน คือ ตะกรุดลูกอมหรือ "ตะกรุดโลกธาตุ" เป็นตะกรุดขนาดเล็กใช้พกติดตัว เมื่อถึงคราวคับขันจวนตัวจะถูกทำร้ายให้กลืนเข้าไปในท้อง จะเป็นล่องหนหายตัวป้องกันอันตรายได้ทุกประการ ตะกรุดนี้เชื่อว่าสามารถออกมาจากร่างกายได้เอง โดยให้ตั้งจิตอธิษฐานก่อนนอน รุ่งขึ้นตะกรุดก็จะออกมาปรากฏอยู่ข้างตัว โดยจะไม่ออกทางทวารเบื้องต่ำเด็ดขาด จึงเรียกว่า ตะกรุดลูกอม หัวใจโลกธาตุ คือ "อิจฉันโต จิตโต อิจฉันโต โลกธาตุมหิ อัตตะภาเวนัง นาทุยิ วาระวีสะติ สิทธังละอะ" เป็นคาถาพระพุทธเจ้าเดินจงกรมในเมล็ดพันธุ์ผักกาด ทำด้วยทองคำ เงิน หรือทองแดง ต้องมีน้ำหนัก 1 สลึง ยาวขนาด 7 ใบมะขามเรียกว่า สัตตะโพชฌงค์ 7 ตะกรุดโลกธาตุมีชื่อเสียงปรากฎทั่วประเทศ นอกจากนี้ ท่านยังทำพระปิดตาแบบภควัมบดี เนื้อผงสีขาว และสีดำ และพระผงยืนห้ามญาติด้านหลังมียันต์อกเลา พระผงแบบนั่งสมาธิ สมเด็จเล็บมือ พระผงปางห้ามญาติ และเชือกคาดเอว เกียรติคุณของหลวงปู่ยิ้มเป็นที่เลื่องลือไปหลายหัวเมือง ทั้งเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้ให้ความเลื่อมใสนับถือท่านเป็นอาจารย์ ขอเรียนวิชา แม้กระทั่ง หลวงปู่ศุข แห่งวัดมะขามเฒ่า ยังเคยธุดงค์มาอยู่จำพรรษาที่วัดหนองบัว เพื่อแลกเปลี่ยนสรรพวิชากัน

    หลวงปู่ยิ้ม มีอุปนิสัยสันโดษ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลและเป็นพระอุปัชฌาย์ มีคนบวชกับท่านเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญท่านได้ถ่ายทอดไสยเวทวิทยาคมให้กับลูกศิษย์ในยุคต่อมา จนกลายเป็นพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อเหรียญ วัดหนองบัว, หลวงปู่ดี วัดเทวสังฆาราม, หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ, หลวงพ่อสอน วัดลาดหญ้า เป็นต้น หลวงปู่ยิ้ม ได้มรณภาพลงอย่างสงบ พ.ศ.2453 สิริอายุได้ 66 ปี 46 พรรษา เมื่อท่านได้มรณภาพแล้ว ตำรับตำราต่างๆ ของท่านก็เป็นมรดกตกทอดมาถึงเจ้าคุณพระโสภณสมาจาร (เหรียญ) วัดหนองบัว และสานุศิษย์ที่สืบทอดวิชาได้สร้างเครื่องราง เจริญรอยตามแบบท่านสืบมาจนถึงกาลปัจจุบัน ..
    :- https://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=534550165&Ntype=40
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    อาจารย์ยอด : บูรพาไม่สิ้นแสง ชีวประวัติหลวงพ่อสาคร มนฺญโญ วัดหนองกรับ ฉบับเต็ม 3 ชั่วโมง [พระ]

    อาจารย์ยอด
    5,064,629 views
    Sep 8, 2017
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    หลวงพ่อสาครmanunyo.jpg
    ประวัติหลวงพ่อสาคร มนุญโญวัดหนองกรับ จ.ระยอง : อริยะโลกที่ 6
    หลวงพ่อสาคร มนุญโญ – วันจันทร์ที่ 3 ก.พ.2563 น้อมรำลึกครบ 82 ปี ชาตกาล “หลวงพ่อสาคร มนุญโญ” หรือ “พระครูมนูญธรรมวัตร” เจ้าอาวาสวัดหนองกรับ หมู่ 3 ต.หนองกรับ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง อดีตพระเกจิอาจารย์ ในระดับแนวหน้า เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จ.ระยอง พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง
    มีนามเดิมว่า สาคร ไพสาลี เกิดในตระกูลชาวไร่–ชาวนา เมื่อวันอังคารที่ 3 ก.พ.2481 ที่บ้านท้ายทุ่ง หมู่ 2 ต.หนองกรับ อ.บ้านค่าย บิดา–มารดา ชื่อ นายกุ และนางนิด ไพสาลี มีพี่น้องทั้งหมด 2 คน
    ในช่วงวัยเยาว์ เข้าศึกษาเบื้องต้นในชั้นประถมปีที่ 1 เมื่ออายุ 5 ขวบ ที่โรงเรียนวัดหนองกรับ จนจบชั้นประถมปีที่ 4 พ.ศ.2490 ออกมาช่วยครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
    อายุครบ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันพุธที่ 4 มิ.ย.2501 ที่วัดหนองกรับ อ.บ้านค่าย โดยมีพระครูจันทโรทัย (หลวงพ่อดิ่ง) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการเคียง วัดไผ่ล้อม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า มนุญโญ
    จากนั้น เดินทางไปจำพรรษาที่วัดละหารไร่ ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและพุทธาคมจากหลวงปู่ทิม ด้วยความเมตตา หลวงปู่ทิมถ่ายทอดสรรพวิชาให้พระสาครจนหมดสิ้น
    ศึกษาวิทยาคมจากหลวงพ่อเพ่ง สาสโน วัดละหารใหญ่ อีกทั้งได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ทิมให้ไปศึกษาวิชาจากหลวงปู่หิน วัดหนองสนม ซึ่งได้รับความเมตตาจากหลวงปู่หินถ่ายทอดวิชาให้เป็นอย่างดี
    หลังจากศึกษาวิชาจากหลวงปู่หิน ก็เดินทางไปศึกษาวิชากับหลวงปู่โสม วัดบ้านช่อง อ.พานทอง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นพระที่มีวิทยาคมแก่กล้าอีกรูปหนึ่งของภาคตะวันออก
    เป็นพระเกจิอาจารย์ ที่มีลูกศิษย์ให้ความเลื่อมใสศรัทธา ชาวเมืองระยองและจังหวัดใกล้เคียง ร่ำลือถึงความประพฤติปฏิบัติในพระธรรมวินัย และยังเป็นพระเถระที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน แสวงหาความรู้จากครูบาอาจารย์ต่างๆ ทั้งตำรับตำราของหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ โดยเฉพาะการลงอักขระเขียนยันต์ที่สวยงาม ซึ่งมีฝีมือยิ่งในเชิงช่างและการออกแบบที่เป็นความสามารถเฉพาะตัว
    สำหรับตำราสมุดข่อยโบราณ ที่เขียน ถึงการสักยันต์ รูปยันต์ต่างๆ ที่หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ก่อนท่านจะละสังขาร มอบสมุดข่อยซึ่งเป็นตำราให้กับหลวงพ่อสาคร ซึ่งสมุดข่อยนี้ได้เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ยันต์ วัดหนองกรับ ที่สร้างขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาหาข้อมูล
    เมื่อครั้งที่รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองกรับ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ มีอายุกว่า 200 ปี และวัดเคยถูกไฟไหม้จนวอดวาย หลวงพ่อสาครบูรณะและสร้างเสนาสนะใหม่ขึ้นมา เพื่อให้ภิกษุ–สามเณรและพุทธศาสนิกชนใช้ปฏิบัติศาสนกิจ
    ในปี พ.ศ.2524 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามที่ พระครูมนูญธรรมวัตร
    ด้านวัตถุมงคล สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปีพ.ศ.2508 มีด้วยกันสองพิมพ์ พิมพ์แรกเป็นพระสมเด็จรัศมี เนื้อผงใบ
    ลานเก่าสีดำอีกพิมพ์หนึ่งเป็นรูปปั้นหลวงปู่ทิม เนื้อผงใบลาน สีดำ หลวงพ่อสาครนำออกมาแจกแก่ญาติโยมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2510 ในงานทอดผ้าป่า
    ส่วนวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม เช่น เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อสาคร, พระขุนแผน พิมพ์ใหญ่รุ่นแรก ปี พ.ศ.2530 และพระขุนแผนผงพรายกุมาร ฝังตะกรุดทองคำ พ.ศ.2538 และพ.ศ.2545 เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก (50 พรรษา) หลังยันต์ห้า และหลังยันต์นะโภคทรัพย์ กริ่งชินบัญชร (หน้าจีน) พ.ศ.2530 รวมทั้งชูชกหลวงพ่อสาครด้วย
    หลวงพ่อสาคร ปฏิบัติงานศาสนกิจ ด้วยดี อบรมสั่งสอนพระธรรมวินัยพระภิกษุสามเณรและศิษย์วัดในการปกครอง อบรมสั่งสอนศีลธรรมจริยธรรมแก่พุทธบริษัทสม่ำเสมอ บำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม
    แต่ด้วยอายุขัยที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราภาพ สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม ท่านอาพาธด้วยโรคถุงลมโป่งพอง ต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ
    มรณภาพเมื่อเวลา 00.45 น. วันที่ 18 ก.ย.2556 ที่โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์
    สิริอายุ 75 ปี พรรษา 55

    :- https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_3506412
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    โจรป่าดงพญาไฟ | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่กงมาและพระอาจารย์วิริยังค์

    100 เรื่องเล่า
    13,242 viewsNov 20, 2021

    โจรป่าดงพญาไฟ เป็นเรื่องเล่าจากประวัติส่วนหนึ่งของหลวงปู่กงมาและพระอาจารย์วิริยังค์
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร บรรลุโสดาบันตั้งแต่อดีตชาติ ชาตินี้บรรลุอรหันต์ในพรรษาที่4// ปู่ดอน station

    ปู่ดอน station
    115,317 views Sep 21, 2021
    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร พระอรหันต์แห่งวัดโคกปราสาท ลูกศิษย์ของหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ท่านเป็นพระที่มีบารมีธรรมที่สั่งสมมาในอดีตชาติมากมาย เคยบรรลุโสดาบันมาจากชาติก่อนแล้ว ชาตินี้เป็นชาติที่7แห่งความเป็นพระโสดาบันของท่าน ซึ่งมีคติที่แน่นอนว่า จะต้องได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เท่านั้น และท่านก็ได้บรรลุจริงๆ พร้อมกับญาณรู้เห็นมากมาย…
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    หลวงพ่อฉลวยปี56ย่อ.jpg
    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร


    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ท่านมีบุญบารมีมาก แม้จะบวชถึงสองครั้ง แต่ท่านก็เพียรภาวนามาตลอดขณะที่เป็นฆราวาส บวชครั้งแรกเมื่อวัยฉกรรจ์แต่ต้องลาสิกขามามีครอบครัวเพื่อใช้วิบากกรรม ต่อมาเมื่อได้ใช้วิบากกรรมหมดแล้วจึงได้ออกบวชอีกครั้งเมื่ออายุ 50 ปี แต่ด้วยบุญบารมีในอดีตชาติที่มีภูมิธรรมขั้นพระโสดาบันมาก่อน มาในภพนี้เมื่อออกบวชในเดือนแรกก็เห็นธรรมสว่างไสว มีญาณหยั่งรู้อดีตอนาคต ต่อมาได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดสิ้นภพสิ้นชาติในต้นพรรษาที่ 4 มีอาสวักขยญาณกว้างไกลที่สุดในยุคนี้ ท่านสามารถหยั่งรู้อดีตชาติไม่มีประมาณจนไปเห็นต้นธาตุที่มาถือกำเนิดครั้งแรกในโลกใบนี้ในร่างลิง ท่านรู้ถึงการกำเนิดและการสิ้นสุดของโลกที่มีอายุยืนถึงหกหมื่นล้านปี และในอีกสามหมื่นล้านปีข้างหน้าโลกใบนี้ก็จะแตกสลายไป แล้วจะเวียนกลับมาเกิดอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องแบบนี้พระพุทธองค์ก็ตรัสรับรองกับหลวงพ่อว่า "เราก็รู้อย่างที่เธอรู้แล้วเธอยังอยากจะรู้อะไรอีก" นอกจากนั้นหลวงพ่อยังสามารถรู้อดีตรู้อนาคตของลูกศิษย์ทุกคน รู้วาระจิตของคนและสัตว์ อย่างไรก็ตาม แม้ท่านจะมีความรู้ความเห็นมากมายเพียงไร แต่ท่านก็มีจริตนิสัยเป็นพระผู้ติดดิน อยู่อย่างสมถะเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีระเบียบเคร่งครัดอันชวนน่าอึดอัด เพราะลูกศิษย์ของท่านส่วนใหญ่เป็นฆราวาส เป็นชาวบ้านป่านาดอน หลวงพ่อท่านจึงมิใช่ "ผู้ทำทรง" แบบทำเป็นผู้เคร่งครัด แต่ท่านเป็น "ผู้ทรงธรรม" ที่แจกแจงธรรมตามวาระแบบติดดิน ด้วยความเมตตาต่อสัตว์โลกมิมีประมาณ ซึ่งเป็นการเจริญรอยตามหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เหลืองมิผิดเพี้ยน และในปัจจุบันหลวงพ่อท่านมีอายุ 60 ปี จึงนับเป็นบุญวาสนาของบรรดาลูกศิษย์ที่จะได้พึ่งบุญบารมีของท่านไปได้อีกนาน


    9%88%E0%B8%AD%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%B556%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD.jpg

    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร อายุ 59 ปี
    ถ่ายเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2556 ณ วัดกระดึงทอง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์


    B8%A2+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD.jpg

    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร อายุ 59 ปี ถ่ายเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2555 ณ โพนพิสัย หนองคาย


    %B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD.jpg

    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร อายุ 59 ปี
    ถ่ายเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2555 ณ อ.แม่ทา จ.ลำปาง เมื่อคราวธุดงค์สัญจรภาคเหนือครั้งแรก
    หมายเหตุ ดร.นนต์ เป็นผู้ถ่ายภาพและตกแต่งภาพ
    หลวงแม่ชีอุ่น ไร่พิมาย


    หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร แสดงธรรมโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้าย
    ท่านทั้งหลาย เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคมค 2556 หลังจากหลวงแม่ชีอุ่น ไร่พิมาย ผู้เป็นมารดาของหลวงพ่อผู้ติดดินแห่งวัดโคกปราสาท ท่านได้เข้าโรงพยาบาลด้วยอาการหมดแรงเป็นเวลา 2 วัน เมื่อญาติได้นำท่านกลับมาที่วัดตามความประสงค์ของท่านไม่กี่นาที หลังได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อจบลง ท่านก็ได้ละสังขารด้วยอาการสงบในเวลา 17.30 น. ธรรมที่หลวงพ่อแสดงโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก็คือ การละธาตุขันธ์ของพระอรหันต์เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน จึงเป็นหน้าที่สุดท้ายของหลวงพ่อที่ได้แสดงออกต่อมารดาผู้มีพระคุณอย่างสมบูรณ์ที่สุด ธรรมที่หลวงพ่อแสดงออกมานั้น มีใจความพอสรุปได้ว่า

    เมื่อธาตุขันธ์จะสิ้นลม มีอาการหมดแรงขยับกายไม่ได้ ลมค่อยๆดับ วิญญาณจะออกจากร่างมายืนพิจารณากาย แล้วจึงทำลายขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้แตกสลายไป วิญญาณเป็นตัวสุดท้ายที่ต้องทำลายในวินาทีสุดท้าย หากทำลายวิญญาณไม่ได้ก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก พระอรหันต์ท่านจึงทำลายขันธ์ห้าได้ ก็ต่อเมื่อละสังขารเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้
    หลวงพ่อเล่าให้ฟังในเวลาต่อมาว่า ผู้ที่กำลังจะตายนั้น วิญญาณจะเข้าๆออกๆ คือเวลาจะหมดลมหายใจแต่ละช่วงวิญญาณก็จะออก แต่พอมีลมหายใจกลับมาวิญญาณก็จะเข้าร่างกลับมา เพราะร่างกายยังไม่หมดลมหายใจ

    ส่วนหลวงแม่นั้น เมื่อท่านถูกนำกลับมาถึงวัดและได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อแล้ว จิตของท่านเข้าสู่สภาวะอันสงบ จิตออกจากร่างมายืนพิจารณากายสังขารของตัวเองจนเกิดเบื่อหน่าย ขณะเดียวกัน หลวงแม่ท่านก็มีใจจดจ่อในธรรมพร้อมกับพิจารณาตามหลวงพ่อ แล้วจึงดับรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ตามลำดับ เมื่อดับได้แล้วจะเหลือแต่ "รู้" อยู่ ผู้ "รู้" เห็นอวิชชา จึงทำลายอวิชชาจนขาดสะบั้น ความสว่างไสวบังเกิดขึ้น ภพชาติได้สิ้นสุดลงพร้อมกับเข้าสู่แดนพระนิพพานในทันที ท่านบรรลุธรรมและละสังขารในเวลาห่างกันเพียงเศษเสี้ยววินาที เวลาประมาณ 17.30 น. ด้วยวัย 100 ปี นับเป็นวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต และเป็นวินาทีสุดท้ายแห่งการสิ้นภพชาติอันยาวนานของท่าน


    535032_253601788116520_637926274_n%5B1%5D.jpg

    ภาพถ่ายเมื่อวันสงกรานต์ เมษายน 2556 ก่อนหลวงแม่ละสังขารไม่กี่เดือน


    %E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88+20.jpg

    %E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88+19.jpg

    %B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD.jpg

    ภาพถ่ายก่อนหลวงแม่ละสังขารไม่กี่เดือน พร้อมอัฐิกลายเป็นพระอรหันตธาตุทันทีหลังจากถวายเพลิง
    ท่านทั้งหลาย ความจริงประวัติและปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งสามท่าน มีทั้งเรื่องราวแบบคนทั่วไปและเรื่องราวทางธรรมที่อัศจรรย์และพิสดารตามวิสัยของพระผู้มีบุญบารมี แต่ผมไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดได้ ก็ขอนำเสนอให้รับทราบกันพอสมควรแก่กาลวาระนี้ไปก่อน หากมีโอกาสอันควรจึงจะได้นำเสนอประวัติอันสมบูรณ์ต่อไปครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    19 พฤศจิกายน 2556
    :- http://dr-nontayan.blogspot.com/2013/11/212.html
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    ๑๑๐. ลี้ลับเมืองลับแล ผจญภัยบนดอยสูง

    ส่างอุ่นเปิงและพ่อลุงชีปะขาวเติง เดินทางเข้าสู่เมืองลับแล

    ๑๑๑. อดีตชาติ ผจญภัยบนดอยสูง

    thamnu onprasert
    61,675 views Dec 12, 2021
    เมื่ออดีตชาตินานมาแล้ว ส่างอุ่นเปิง เคยเกิดเป็นกินนร ในป่าหิมพานต์!

     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    อาจารย์ยอด : ดงสาบเสือ พ่อปู่เขาเขียว [ลึกลับ]

    อาจารย์ยอด
    235,488 views Dec 9, 2021
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091

    อาจารย์ยอด : หลวงปู่ชม อนงฺคโณ (วัดทุ่งยาว) [พระ] Exclusive

    อาจารย์ยอด
    3,126,132 views Oct 29, 2016
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงพ่อชม อนังคโณ

    วัดทุ่งยาว
    อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี

    133112013-869x1024.jpg
    หลวงพ่อชม อนังคโณ วัดทุ่งยาว (วัดเขานันทาพาสุภาพ)

    หลวงพ่อชม อนังคโณ ท่านเป็นพระสุปฏิบัติ ที่มีจริยาวัตรงดงาม และประกอบด้วยคุณธรรมอันบริสุทธิ์องค์หนึ่ง ปกติของท่านแล้ว แม้แต่สมัยท่านเป็นฆราวาส จิตใจที่เปี่ยมล้นด้วยบุญกุศล มีเมตตาธรรมสูงอย่างแท้จริง คือ… ท่านเอื้ออารี ต่อเพื่อนบ้านและบรรดาผู้เจ็บป่วย ท่านจะรักษาสละเวลาจากกิจการงานรีบเร่งไปยังบ้านคนป่วยทันทีไม่รั้งรอ


    แววดวงตาของท่าน สมกับเป็นนักต่อสู้กิเลสอันสําคัญองค์ หลวงพ่อชม อนังคโณ องค์นี้ ก่อนที่จะพบกับธรรมะอันบริสุทธิ์ได้นั้น ท่านได้ผ่านด่านวิบากมาอย่างชนิดเลือดตาแทบกระเด็น สู้ทนชีวิตลําเค็ญทั้งปวงได้อย่างสมศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย


    ในยุคสงคราม…ซึ่งเป็นสมัยข้าวยากหมากแพง ประกอบด้วยมีภัยสงครามที่เข้ามาสร้างความหวาดผวาให้แก่ชาวบ้านประชาชน โดยทั่วไปนั้น ถือว่าเป็นการหมด ที่พึ่งทางกายและทางใจเอามากๆ อาหารการกินอยู่ เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคไม่มี เป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัส ครั้นจะออกไป พึ่งพาพระภิกษุผู้คอยให้กําลังใจ ก็หมดหนทาง เพราะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มไม่มีเลย


    หลวงพ่อชม “สมัยเป็นฆราวาส” ได้ปลุกใจชาวบ้านทุกๆ ตําบล ให้เข้าวัดสร้างบุญสร้างกุศล อันเป็นที่มั่นสุดท้ายของผู้ตกทุกข์ หรือเหมือนกับกําลังจะ จมน้ำตาย แม้กอสวะเล็กๆ ลอยมา ก็อยากจะคว้าเป็นที่พึ่งของตัวเอง…


    ดังนั้น ท่านจึงเป็นผู้นําคณะศรัทธาญาติโยม หาอาหารที่พึงมีอยู่ใส่สํารับ แล้วสวมกางเกงที่หมดสภาพแล้วด้วยความเก่าแก่จนไม่เป็นรูปทรง ก้นขาดกะรุ่งกะริ่ง ออกนําหน้ามุ่งสู่วัด เพื่อจําศีลภาวนาธรรม จนได้รับฉายาใหม่ว่า “วีรบุรุษผ้าขาดก้น”


    หลวงพ่อชม อนังคโณ ท่านเกิดที่บ้านโง้ง ต.โพธิ์งาม อ.ประ จันตคาม จ.ปราจีนบุรี (ท่านบอกว่าเป็นปีจอ เดือน ๑๒) พ.ศ. ๒๔๕๑ บิดามารดาเป็นชาวนาโดยกําเนิด ลูกๆ จึงต้องเจริญรอยตาม โดยอาศัยงานทุ่งงานนาเป็นพื้นฐานของชีวิต


    การบวชจิตใจให้เป็นพระของท่านหลวงพ่อชม อนังคโณ มีมานานสมัยเป็นฆราวาสแล้ว ท่านบวชจิตใจด้วยการรักษาศีลอุโบสถ นุ่งขาวห่มขาวบ้างเป็นบางเวลา ส่วนจิตใจนั้นเต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรม


    หลวงพ่อชม อนังคโณ ท่านบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ก่อนเข้าพรรษาเพียง ๕ วัน โดยจัดงานบวชที่วัดหนองโพธิ์ ได้รับความเมตตาธรรมจาก ท่านพระอาจารย์นนท์ เป็นพระ อุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “อนงฺคโณภิกษุ”


    92618008.jpg
    หลวงพ่อชม อนังคโณ วัดทุ่งยาว (วัดเขานันทาพาสุภาพ)

    เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว หลวงพ่อชม ท่านมีภูมิธรรมมาก่อนบวช ท่านจึงรีบเร่งภาวนาธรรม ท่านเคยพูดเสมอว่า “ถ้าเรารักตัวกลัวทุกข์ยาก เรา ต้องหมั่นฝึกฝนปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่าทิ้งความดี ความดีนั้นมีอะไร… ความดีก็มี ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เราจึงจะพ้นทุกข์พ้นภัย”


    หลวงพ่อชม เดินธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมที่เขาเขียว จ.สระบุรี สมัยที่ท่านเที่ยววิเวกตามป่าเขาลําเนาไพรนั้น ท่านทําความเพียร โดยเฉพาะที่เขาเขียวแห่งนี้หลายปี และธรรมะที่เกิดกับจิตใจอย่างแจ่มแจ้งก็เป็นที่แห่งนี้เอง


    หลวงพ่อชม อนังคโณ ท่านได้เล่าประสบการณ์เดินธุดงคกรรมฐานให้ผู้เขียนฟังพอเป็นเครื่องระลึกดังนี้ว่า…
    “การประพฤติปฏิบัติธรรม ของคนเรานี่ ไม่ว่าเป็นพระภิกษุ สามเณร หรือฆราวาสทุกเพศทุกวัย ทําได้ทุกๆ คน


    สรุปว่า ถ้าแม้มีจิตมีสติแล้ว ทําได้ทั้งนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้ว จะเกิดความอัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือ เมื่อมีกําลังใจ หรืออํานาจจิต มีความเชื่อมั่นแล้วจะบังเกิด สิ่งหนึ่ง สิ่งนี้คือการอธิษฐาน


    สมัยที่อาตมาเจ็บป่วยมาก และกําลังจะตายอยู่อย่างเห็นชัด นี่อยู่ในป่านะ ครั้นพอรู้ตัวว่ากําลังจะตาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงกําหนดและยัง ไม่ได้นําธรรมะที่ได้รับออกเผยแพร่แก่ชาวโลกเลย จึงนึกเสียดาย ในเวลานั้น จึงได้อธิษฐานขออํานาจพระรัตนตรัย บิดามารดา คุณความดีทั้งปวงให้ช่วยเพิ่มแรง เพิ่มกําลังใจ เป็นที่น่าอัศจรรย์ความเจ็บป่วยกลับหายไปเมื่อได้ลืมตาขึ้นแล้ว เกิดกําลังวังชาขึ้นมาทันทีทันใด ปืนเขาได้อีก ๕-๖ ยอดสบายๆ นี้จึงกล้ารับรองว่า แม้นักปฏิบัติทําจริงมีสัจจะกันแล้ว จะต้องบังเกิดผลเป็นที่แน่นอน ไม่ต้องสงสัย หรือเที่ยวถามกับคน อื่น ถามตัวเราได้เองเลย”


    ก็เป็นจริงดังนี้ แม้แต่พระอาจารย์ถวิล แห่งวัดยางระหง จ.จันทบุรี ก็กล้าสอนกล้ารับรองว่า “เมื่อผู้ใดได้ฝึกสอนอบรมจิตใจให้แก่กล้าแล้ว รับรองว่าต้องได้ผล ปัจจุบันนี้ เกรงว่าจะไม่เอาจริง และไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปล่ะซี จึงเที่ยวก่อกรรมกันไม่ว่างเว้น
    ครั้นพอมีภัยจนตัวเข้า ก็พึ่งหาพระ ก็กรรมมันไล่ถึงตัวแล้วใครจะไปช่วยได้


    บางคนเลิกนับถือพระเอาเลยก็มีนะ นี่คือความไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว มันจึงเป็นคนตาบอดกันเกือบหมดประเทศน่ะ ศีล ๕ ก็ยังปฏิบัติไม่ครบ ดูซีดูเอาว่าจะจริงไหม พระพุทธเจ้าชี้ให้ดูก็ยังมองไม่เห็นน่ะ”


    ในบั้นปลายชีวิตของ หลวงพ่อชม เมื่อเข้าสู่วัยชราแต่ท่านมิได้เบื่อหน่ายในการสอนธรรมแก่คณะศิษย์-ญาติโยม ธรรมทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติภาวนาในสมัยนั้น ท่าน ก็ได้รักษาความรู้ของตนนั้นไว้ เพื่อสอนตนและผู้อื่นให้ได้รู้ตามไปด้วย วัดเขานันทาพาสุภาพ บ้านทุ่งยาว อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่อได้มุมานะก่อสร้างขึ้นมา เพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา และเป็นที่บําเพ็ญสมณธรรม ท่านได้ลงแรงกายแรงใจบันดาลให้เกิด ขึ้นท่ามกลางป่าเขานั้น ท่านใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง ๘ ปี


    เมื่อทุกสิ่งอย่างสําเร็จลงสิ้นแล้ว ท่านก็ได้เปิดรับคณะศรัทธาญาติโยมเข้ามาวัดจิตวัดใจของตนเอง ชําระล้างบาปกรรมที่มีอยู่ เป็นอยู่ให้ลุล่วงไป เหลือเพียงจิตใจอันบริสุทธิ์ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นดวงธรรมนําสู่มรรค ผล นิพพาน ที่ทุกคนพึงปรารถนาอัน สูงสุดแห่งชีวิต


    หลวงพ่อชม อนังคโณ วัดทุ่งยาว (เขานันทาพาสุภาพ) ท่านได้มรณภาพลง ในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๘ สิริอายุได้ ๗๕ ปี

     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    หลงป่าภูพาน

    thamnu onprasert
    84,873 view sNov 29, 2021
    ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เดินธุดงค์หลงป่าเทือกเขาภูพาน หาทางออกไม่ได้ ต้องตั้งสัจอธิษฐาน ในที่สุดเทวดาในป่านั้นก็มาบอกทาง


     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091
    จิตเหนือโลก ณ ป่าดงพญาไฟ | เรื่องเล่าพระธุดงค์ | หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

    100 เรื่องเล่า
    14,989 views Nov 16, 2021

    ณ ป่าดงพญาไฟ หรือดงพญาเย็น สมัยก่อน ป่าดงพญาไฟเป็นดงหนาป่าทึบ เต็มไปด้วยไข้ป่า สัตว์ป่าต่างๆมากมาย เหตุอรรศจรรย์เกิดขึ้นเนื่องจากมีเด็กหนุ่มสามคน ไปล่าสัตว์ในวัด เมื่อยิงปืนแล้ว ปืนแตกระเบิดขึ้น ทั้งสามกระบอก อาจเป็นเพราะอำนาจจิตของหลวงปู่สมชาย และก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพลังจิตของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย แห่งวัดเขาสุกิม ที่ท่านได้มาพักจำพรรษาที่วัดเขาไทรสายัณห์ ที่อ.ปากช่อง โดย อ.ณรงค์ท่านเล่าว่าท่านได้ประสบกับพลังจิตของหลวงปู่สมชายด้วยตนเอง กับพระอาจารย์ทิวา ต่อมา ท่านทั้งสองจึงศรัทธาต่อหลวงปู่สมชายเป็นอย่างมาก
    เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญรับฟังได้เลยครับ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,091

แชร์หน้านี้

Loading...