ก่อนเทศน์ช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 เมษายน 2025 at 10:35.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ก่อนเทศน์ช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘



    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เมื่อตีสี่ครึ่ง เขาเปลี่ยนกาลโยค ไม่รู้เรื่องเลยเพราะหลับกันใช่ไหม ? ไม่ใช่สิ เวลานั้นของวัดเราเริ่มทำวัตรเช้า ก็แปลว่าเราทำวัตรเช้ารับปีใหม่กันพอดี ปีนี้กาลโยคมาเร็วมาก มาวันที่ ๑๓ เมษายนเลย บางปีไปถึงวันที่ ๑๖ หรือ ๑๗ ก็มี ปีนี้เป็นสัปปตศก จุลศักราช ๑๓๘๗ พุทธศักราช ๒๕๖๘

    ช่วงเช้าพวกเราก็ทำบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ ตอนบ่ายค่อยปฏิบัติธรรมกันตามปกติ ส่วนพรุ่งนี้หลังทำบุญเช้าก็มีสวดสะเดาะเคราะห์ตอนเที่ยงครึ่ง ใครยังไม่ได้เขียนชื่อ นามสกุลโคตรเหง้าศักราชใส่โลงก็รีบเขียน อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย สะเดาะเคราะห์ให้คนเป็น

    พรุ่งนี้บ่ายเป็นการแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย รางวัลเดียวเหมือนเดิม วันที่ ๑๕ นอกจากทำบุญปกติแล้ว มีการแห่หลวงพ่อทองคำให้ชาวบ้านสรงน้ำ พวกเราก็ไปสรงด้วยที่หน้าวัด แล้วก็มีทอดผ้าป่าสงกรานต์ที่ทางชุมชนจะจัดมาให้ เนื่องจากวัดท่าขนุนของเราไม่บอกบุญไม่เรี่ยไร ทางชุมชนก็เลยจัดผ้าป่าถวายปีละครั้งตอนสงกรานต์ ก็ได้ปีหนึ่ง ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท เยอะอยู่เหมือนกัน

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าช่วงนี้ค่าไฟเดือนหนึ่งหกหมื่นกว่าบาท ได้มาสองพันก็เบาไปเยอะ หลังจากสรงน้ำพระแล้ว ใครจะสาดน้ำก็ได้ แต่ระวังด้วย กฎหมายใหม่ออกมาแล้ว สาดน้ำคนที่ไม่เล่นด้วยโดนปรับหนึ่งหมื่นบาท ปะแป้งคนที่ไม่เล่นด้วยโดนปรับห้าพันบาท เพราะฉะนั้น..ดูดี ๆ นะจ๊ะ

    สมัยอยู่วัดท่าซุง ขนาดวันนั้นเป็นวันที่ ๑๗ แล้ว อาตมาต้องไปเบิกธนาณัติให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง สมัยก่อนไม่มีการโอนเข้าบัญชี เขาใช้วิธีส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงินไปที่วัด แล้วหลวงพ่อท่านก็จะเซ็นมอบฉันทะให้อาตมภาพเป็นคนไปรับแทน เห็นว่าธนาณัติค้างมาก วันที่ ๑๗ หลังสงกรานต์แล้วก็ออกไป แต่ด้วยความไม่ไว้วางใจ ก็ยังอุตสาห์เอาแขนที่มีจีวรพันลูกบวบอย่างดีพาดไว้ขอบหน้าต่างสองแถว ให้เขาเห็นว่าเป็นพระ แต่เขาไม่มอง ผ่านไปถึง เขาก็ยกสาดเข้ามาทั้งถังเลย แล้วก็มีเสียงร้องตามมาว่า "ว๊าย พระ !" ร้องทำไม..?! อาตมาโดนไปเต็ม ๆ ถังแล้ว..!

    เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการเล่นแบบนี้ ถ้าไม่มีกฎหมายห้ามไว้ก็จะลำบาก สมัยก่อนใครนึกอยากจะสนุกสนานก็มีการเอาถังน้ำใส่ท้ายรถไปไล่สาดคนอื่นเขา แต่เดี๋ยวนี้ปรับห้าหมื่นบาท สงกรานต์บ้านเราปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก ยูเนสโกพิจารณาเพื่อที่จะจดทะเบียนเป็นวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ก็คือไม่มีตัวตน ยกเว้นจัดงานเมื่อไรถึงจะมีหน้าตาขึ้นมา

    แต่คราวนี้บ้านเราเมืองเราจะไปหวังเอาการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าชาวโลกเขาเดือดร้อน ก็คงไม่มีใครมีอารมณ์ไปเที่ยวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 เมษายน 2025 at 08:08
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ตอนนี้เป็นสงครามการค้า สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีจีน ๑๔๕ เปอร์เซ็นต์ ทำให้จีนขายของวันเดียวได้เป็นหมื่นล้านเลย ! เพราะกลัวว่าถ้าประกาศขึ้นภาษีแล้วจะต้องซื้อของแพง บริษัทแอปเปิล (Apple) ที่ขายไอโฟนเลยรีบนำไอโฟนเข้าประเทศสหรัฐฯ ไอโฟนเป็นของบริษัทสหรัฐอเมริกาแต่ผลิตในจีน แอปเปิลส่งเครื่องบินบรรทุกสินค้าไป สั่งว่า "โกยมาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ ก่อนที่ราคาจะขึ้น" เขาบอกว่าถ้าเป็นภาษีใหม่อาจจะต้องซื้อเครื่องหนึ่งถึงหนึ่งแสนบาทไทย

    ส่วนจีนก็เทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ สหรัฐฯ ทำท่าจะเจ๊งเพราะเงินตัวเองทะลักออกตลาดมาก ค่าเงินดอลลาร์ก็ตก ก่อนหน้านี้ประเทศจีนถือพันธบัตรสหรัฐฯ สามแสนกว่าล้านเหรียญ แล้วก็ทยอย ๆ ขาย ซื้อเป็นทองคำเก็บ ตอนนี้แม้ว่าจะซื้อทองได้น้อยลงเพราะราคาพุ่งทะลุโลกไปแล้ว แต่ก็ยังจะซื้อเพื่อที่จะเทเงินสหรัฐฯ ทิ้ง

    สรุปว่าสหรัฐฯ หาเรื่องเดือดร้อนเอง เพราะสหรัฐฯ แก้ไขปัญหาแบบคนรวย เราอย่าลืมว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนรวยมาก แล้ว อีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีก็เป็นคนโคตรรวยอันดับต้น ๆ ของโลก เขาก็เลยแก้ปัญหาด้วยการขึ้นภาษี ประมาณว่า "ขึ้นเท่าไร กูก็จ่ายไหว" แต่ลืมไปว่าชาวบ้านจ่ายไหวไหม ? ในเมื่อตัวเองต้องอาศัยสินค้าของต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ แล้วไปขึ้นราคาภาษี ที่เดือดร้อนที่สุดก็ชาวบ้านนั่นเอง

    เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเป็นการพนัน เขาใช้คำว่า "บลัฟ" ประมาณว่าแหกตาว่ากูมีดี แต่ขอโทษ...ประเทศจีนเล่นหมากล้อมมาหลายชาติแล้ว หมากล้อมก็คือกลยุทธ์หรือยุทธวิธีในการรบเลย มีสารพัดวิธี ไม่ใช่แค่โปกเกอร์ที่จะมาบลัฟกัน หมากล้อมมีปล่อยให้เขากิน หลอกให้เขาถลำเข้ามาแล้วค่อยปิดล้อมทีหลัง บางทีก็เสียสละตนเองประมาณว่ายอมเสียแปดร้อยเพื่อที่จะกินเขาหนึ่งพัน คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าใครสายป่านยาวกว่า

    สำหรับประเทศจีนตอนนี้เงินล้นประเทศเลย เพราะว่าบอกให้พ่อค้าจีน บริษัทจีน ถอนการลงทุนกลับบ้านเรา ซื้อเงินหยวนไว้อย่างเดียว แล้วก็เทหยวนดิจิตอลออกมา ในอัตราหนึ่งต่อหนึ่ง ซื้อหยวนดิจิตอลหนึ่งหยวนก็แลกในท้องตลาดได้หนึ่งหยวนเท่ากัน ไม่ใช่บิทคอยน์ที่หนึ่งตอลลาร์แลกแต่ละทีได้ ๗ - ๘ หมื่นดอลลาร์..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้นสหรัฐอเมริกาก็เลยเจอแผนป่าล้อมเมือง ในโลกนี้ใครเดือดร้อน ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร โอ้..พระเจ้า..! สหรัฐฯ เดินหน้าหาศัตรูทั่วโลก ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองกำปั้นใหญ่ อย่างไรก็ชนะแน่ แต่ตอนนี้ไม่แน่แล้ว เพราะดูท่าจีนจะกำปั้นใหญ่พอ ๆ กัน !

    สหรัฐฯ พยายามที่จะก่อสงครามเพื่อที่จะดึงศรัทธาประชาชนให้กลับมา และสร้างอิทธิพลต่อโลก พร้อมกับขายอาวุธ แต่ถ้าเห็นแผนการรบของจีนแล้วคุณจะหนาว สหรัฐฯ พยายามจะใช้ไต้หวันเป็นตัวจุดชนวน จีนยินดีให้จุด แต่จีนวางแผนรบไว้ว่าจะยึดไต้หวันภายในสามวัน..!

    กูไม่ยืดเยื้อเป็นปีเหมือนยูเครนหรอก ยูเครนนั่นรัสเซียตั้งใจนะ รบช้า ๆ ดึงเกมให้ยาวที่สุด ล้างผลาญทรัพยากรยุโรปให้มากที่สุด จนไม่มีใครมีทรัพยากรเท่าตัวเอง แล้วยุโรปก็ต้องไปคุกเข่าง้อรัสเซียเอง ตอนนี้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เพราะว่าของถูกจากรัสเซียไม่มีแล้วซึ่งก็คือเชื้อเพลิง ที่เป็นตัวขับเคลื่อนอุตสาหกรรม สหรัฐฯ ก็ไม่ขายให้เพราะเก็บไว้ใช้เอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ประเทศจีนถ้าหากว่าจะยึดไต้หวัน เขาวางแผนรบสามวันจบ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่ยอมแพ้ ขีปนาวุธทั้งหมดที่มีก็เทลงไปทีเดียว ต่อให้ไม่เหลือคนไต้หวันสักคนก็ไม่เป็นไร แล้วสหรัฐฯ จะสอดแทรกอย่างไรในเมื่อสามวันจบ เรือรบยังเดินทางไปไม่ถึงเลย !

    คนจีนโบราณเขาบอกว่าสามสิบปีสายน้ำไหลไปตะวันตก สามสิบปีสายน้ำย้อนกลับมาตะวันออก พูดง่าย ๆ ก็คือวิวัฒนาการโดยปกติเป็นแบบนั้น ผลัดกันใหญ่ ผลัดกันรวย ผลัดกันครองอำนาจ สหรัฐฯ วางแผนใช้ดอลลาร์ผูกติดกับน้ำมัน จนทุกประเทศในโลกต้องใช้ดอลลาร์เพื่อซื้อน้ำมัน จีนตั้งกลุ่มมิตรขึ้นมาให้ใช้เงินของประเทศคุณนั่นแหละซื้อ ไม่ต้องไปหาดอลลาร์ ดอลลาร์ก็ค่อย ๆ โดนลดความสำคัญลง

    คราวนี้ประเทศไทยเราน่าสงสารที่สุด อยู่เฉย ๆ ก็เป็นมหาอำนาจ มีรัฐบาลโง่ ๆ แต่ประเทศดันเป็นมหาอำนาจเอง เพราะว่าพื้นฐานที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ วางเอาไว้ แล้วรัชกาลที่ ๑๐ มาสืบสาน รักษา และต่อยอด ปัจจุบันนี้ประเทศรอบด้านเราที่ต้องพึ่งพาชาติอื่น พม่า ลาว เขมร ทุกประเทศแทบจะใช้เงินไทยหมด เงินไทยแทบจะเป็นดอลลาร์ของเอเชีย ก็คือใหญ่และแข็งค่าขึ้นมาด้วยตัวเอง

    ปัจจุบันนี้เงินไทย ๑ บาทแลกพม่าได้ ๑๐๐ กว่าจั๊ด แลกลาวได้ ๗๐๐ - ๘๐๐ กีบ ส่วนแลกเงินเขมรก็ ๑ ต่อ ๑๐๐ โดยประมาณ เขาบอกว่าแบงค์เขมรเอามาก็ลบศูนย์ออกสองตัวก็เท่ากับเงินไทย แล้วประเทศเหล่านี้เขาก็นิยมใช้ดอลลาร์หรือไม่ก็ต้องเงินไทยไปเลย แต่ประเทศพม่าไม่รับดอลลาร์เพราะว่าเกลียดอเมริกัน

    ใครเอาดอลลาร์ไปแลกอย่างเป็นทางการที่พม่าจะได้ประมาณ ๕ จั๊ด แต่เอาเงินไทยไปแลกได้ ๑๐๐ จั๊ด ในพม่าเงินไทยใหญ่กว่าดอลลาร์ แต่ถ้าในตลาดมืด ๑ ดอลลาร์แลกได้ ๑,๐๐๐ กว่าจั๊ด คนไทยได้ยินแล้วก็อยากที่จะแลกในตลาดมืด

    มีคนเดินดุ่ย ๆ ไปถาม พนักงานโรงแรมกันดอจีพาเลซ ที่ย่างกุ้ง ด้วยเสียงดังฟังชัดว่า "ผมจะแลกดอลลาร์ในตลาดมืดได้ที่ไหนครับ ?" พนักงานตกใจ..ช็อค เพราะว่าของเขานี่ถ้าไม่ใช่อาชีพที่รัฐบาลอนุญาต แล้วถือดอลลาร์อยู่นี่ติดคุกเลย เพราะผิดกฎหมาย พนักงานโรงแรมบอกว่า "เบา ๆ คุณ แลกกับผมก็ได้" ..เป็นอะไรที่ตลกดี
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ที่โยมเห็นว่าพระเหลือน้อย เพราะว่าไปอบรมบาลีก่อนสอบกัน ส่วนสามเณรเปิดเทอมก็สึกกันหมดแล้ว เมื่อวานลงทบทวนพระปาฏิโมกข์เฉพาะพระ ๔๑ รูป

    วันนี้เท่ากับเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ เข้าฤดูร้อนมาหนึ่งเดือนแล้ว บ้านเราแต่โบราณฤดูร้อนเริ่มวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จำง่าย ๆ ว่าเป็นวันที่ในหลวงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต จากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน เดี๋ยวพอแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ก็เปลี่ยนเครื่องทรงจากฤดูร้อนเป็นฤดูฝน แล้วไปแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ก็เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นฤดูหนาว ของเราทำกันแค่นี้

    แต่หลวงพ่อมหามัยมุนีที่ประเทศพม่า พอตี ๔ จะมีเสียงดนตรีปลุก เป็นวงปี่พาทย์มอญ หลังจากนั้นก็เป็นพิธีสรงพระพักตร์ เรียบร้อยแล้วก็ถวายข้าวพระ มีการโบกพัดอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงผ่านไป
    ประมาณว่าพระองค์เสวยเสร็จแล้ว ก็จะปล่อยให้คนเข้าไปสักการะได้ แล้วก็จะมีเสียงดนตรีกล่อมอยู่ทั้งวัน

    เขาปฏิบัติเหมือนกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าจัดเป็นพุทธานุสติที่สามารถเข้าถึงได้ ถ้าไปเจอพวกรู้มากเขาก็จะตำหนิเอาอีกว่า "ทำให้ยึดติด พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง"

    ไอ้พวกรู้เกินนี่บ้านเรามีเยอะจริง ๆ อยากจะถามว่า"ถ้าไม่ถืออะไรไว้ แล้วจะเอาอะไรมาวาง ?" คนจะวางได้แปลว่าต้องมีสิ่งของที่ตนเองยึดถืออยู่ ก็แปลว่าเราต้องยึดเกาะในด้านดี อย่างเช่นว่า ทาน ศีล เป็นต้น พอถึงเวลาตอนช่วงท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะปล่อยวางไปเอง

    คนกินข้าวอิ่มไม่มีใครจะตะบี้ตะบันกินต่อไปหรอก นี่ยังไม่ทันกินเลยดันบอกให้อิ่มแล้ว..! อาตมาขี้เกียจด่า..! พวกโง่ ๆ แบบนี้ต้องให้ไปเกิดใหม่ เกิดอีกสักหลาย ๆ ชาติ จะได้ฉลาดกว่านี้ ไม่มาเสียเวลาทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ดูท่าว่าจะเกิดยากนะสิ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    เพราะฉะนั้น..แทนที่จะโกรธ ก็สงสารเขาเถิด ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร กว่าที่จะได้ผุดได้เกิดขึ้นมาเห็นธรรมะของพระพุทธเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง..!

    ก็เป็นเรื่องแปลก เพราะว่าตั้งแต่สมัยพุทธกาล ก็คือพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็มีบุคคลที่ฟังเทวทัตมากกว่าพระพุทธเจ้า ก็คือถ้าพระพุทธเจ้าพูดนี่..กูสงสัยทุกเรื่อง..! แต่ถ้าเทวทัตพูดนี่..กูเชื่อ..! ก็คือลักษณะของบุคคลที่สร้างบารมีมาร่วมกัน ต่อให้หัวแถวนำออกนอกทุ่งนอกท่า เข้ารกเข้าพงอย่างไรไม่รู้ ? กูตามอย่างเดียว..!

    แต่ถ้าหัวแถวนำไปทางเตียน ๆ ประมาณซูเปอร์ไฮเวย์แปดเลน..กูก็จะสงสัยว่าข้างหน้าจะรกหรือเปล่า ? จะตกเหวหรือเปล่า ? คนประเภทนี้ก็ปล่อยเขาไปเถิด อย่าไปยุ่งกับเขามาก แล้วชีวิตเราจะเจริญกว่านี้..!

    แม้กระทั่งการสวดมนต์เขายังพูดออกมาได้ว่า "ไม่ได้บวชมาสวดมนต์" อาตมภาพพูดถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ไปแล้วทุกระดับ ขี้เกียจมาสาธยายใหม่
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    พูดถึงคำว่าสาธยาย การสวดมนต์นั่นแหละคือการสาธยาย คือการท่องจำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ใครท่องจำได้มากแปลว่าจำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้มาก ถึงเวลาก็สามารถสอบทวนกันได้ว่าถูกต้องเที่ยงแท้หรือเปล่า ? ดังนั้น..การสวดมนต์หรือว่าสาธยายมนต์

    อันดับแรกเลย เป็นการรักษาพระไตรปิฎก

    อันดับต่อไป สร้างสมาธิให้เกิด

    อันดับต่อไป บุคคลสาธยายถ้าเข้าใจแล้วพิจารณาตาม สามารถบรรลุมรรคผลได้

    แล้วเขาบอกว่า "สวดไปทำไม ? แม้กระทั่งสวดศพก็ทำให้ผู้ตายตกนรก..!" ไม่รู้ว่าเอาแนวคิดแบบนี้มาจากไหน ? ถ้าเขารู้ว่าก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ นี่เขาสวดพระอภิธรรมในงานแต่งงาน ในงานขึ้นบ้านใหม่ ในงานทำบุญอายุ คงเป็นลมตายกันหมด..!

    เพราะว่าตอนนั้นเขาเอามาสวดในงานพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ คนเขาถึงได้ถือว่าเอาไว้สำหรับงานศพ พระอภิธรรมเป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว มีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นมงคลที่สุด กลายเป็นอวมงคลไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘​

    ที่เหลือไปไหนกันหมด ? เรื่องของการปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์บางท่านใช้ว่า "ทำหน้าที่" ในเมื่อเป็นหน้าที่ก็แปลว่า เป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ คราวนี้การที่พวกเราจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต้องใช้คำว่า ทำให้ดีที่สุด แต่ดูจากที่นั่งที่ว่างเสีย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ดูท่าว่าจะทำหน้าที่ไม่ได้เรื่อง..! เรื่องพวกนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่า กำลังใจของเราคู่ควรต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ ?

    ครูบาอาจารย์สายวัดป่า ท่านบอกไว้ว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย" ก็คือจะต้องแลกกันด้วยชีวิต แม้แต่ในพระไตรปิฏก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า "พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และพึงสละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต เพื่อรักษาธรรม"

    ดังนั้น..ต่อให้พวกเราทุกคนมีกำลังใจที่ถือว่าอยู่ในด้านดี ก็คือแม้ว่าจะเป็นช่วงสงกรานต์ ที่คนอื่นเขาถือว่าเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ว่าพวกเรามาปฏิบัติธรรมกัน แต่ก็อยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นการอยู่ในส่วนของการคัดเลือก ก็คือจัดลำดับตัวเองด้วยการกระทำ ว่าตัวเราเองอยู่ใกล้ไกลต่อมรรคผลเท่าไร ?

    บุคคลที่ยิ่งใกล้ต่อมรรคผล กำลังใจในการตัดละจะยิ่งเข้มข้น ประเภทนี้จะมุ่งตรงอย่างเดียวโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้ว ทำอะไรก็รวดเร็วกว่าคนอื่นเขา เพราะว่าสิ่งที่ให้ห่วงให้พะวง สิ่งรกรุงรังมีน้อย เป็นคนตัวเบา ก็คือเบาด้วยการปล่อยวางภาระต่าง ๆ ลงไปได้มาก

    ส่วนท่านทั้งหลายที่รอจนถึงเวลาแล้วค่อยมา ไม่ใช่คนตรงเวลา หากแต่ว่าเป็นบุคคลที่ยังเชื่องช้าอยู่ ที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสเอาไว้ว่า "เราเป็นผู้ไม่ปรารถนาในธรรมอันเนิ่นช้า" ก็คืออะไรที่ทำให้ช้าต่อมรรคต่อผลจะไม่เอา

    พวกเราจึงสามารถที่จะวัดตัวเองได้ว่า ต่อให้เราก้าวข้ามมาอยู่ในข้างดี สมมติว่าเราเหยียบอยู่ตรงกลางคือ ๕๐ ออกซ้ายมือคือ ๔๙ - ๐ ออกขวามือคือ ๕๑ - ๑๐๐ ตอนนี้เราอยู่ในระดับไหน ? จะมองเห็นอย่างชัดเจน คราวนี้ต่อให้ท่านออกถูกทางและอยู่ในระดับ ๑๐๐ ขอยืนยันว่าถ้าเอามาปฏิบัติธรรมแบบนี้ยังไม่พอกิน..!
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเป็นการคัดเลือกทหาร อยู่ในดี ๑ ประเภท ๑ ก็คือรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง เหมาะแก่การที่จะเป็นทหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทหารที่ดีได้ เพราะว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทหารหลายคนกระทั่งข้างไหนซ้าย ข้างไหนขวาก็แยกไม่ถูก จนกระทั่งครูฝึกต้องให้ถือสิ่งของเอาไว้ อย่างเช่นถ้าบอกว่าซ้ายก็คือหญ้า ถ้าบอกว่าขวาก็คือกิ่งไม้..! กว่าจะสอนให้เข้าใจซ้ายกับขวา ครูฝึกก็แทบจะหมดกำลังใจ

    คราวนี้การปฏิบัติธรรมยากกว่านั้นหลายเท่า เพราะว่าเป็นการฝืนกระแสโลก ถ้าหากว่ากำลังของเราไม่เพียงพอ ก็มีแต่จะไหลตามกระแสไป จนฝืนตัวเองไม่ได้

    หลายท่านกำลังเพียงพอแต่ปัญญาน้อย โดนคนอื่นว่านิดว่าหน่อยก็ถอดใจ สมัยนี้เขาเรียกว่า "บูลลี่" ประมาณว่า "จะรีบเข้าวัดเข้าวาไปทำอะไร ? อายุเพิ่งจะแค่นี้เอง" หรือว่า "ปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไร ? เหาะได้หรือยัง ?"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เราจะต่อสู้เพื่อให้เข้าถึงมรรคถึงผล จึงเป็นเรื่องที่ยากหนักหนาสาหัส มักจะมีแต่สิ่งมาบั่นทอนกำลังใจอยู่เสมอ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น จึงต้องใช้กำลังใจมากกว่าคนปกติหลายเท่า

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงกล่าวกับกระผม/อาตมภาพง่าย ๆ ว่า "อย่างน้อยแกต้องบ้ากว่าคนปกติ ๔ เท่า ไม่อย่างนั้นก็ยังเอาตัวไม่รอด"
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    อาตมภาพปฏิบัติธรรมตั้งแต่เด็ก ๆ ยังเรียนหนังสืออยู่ ครูทุกท่านบอกว่า "บ้า" เพื่อนทุกคนบอกว่า "บ้า" พ่อแม่พี่น้องบอกว่า "บ้า" แต่อาตมภาพรู้อยู่ว่าตัวเองทำอะไร ? ทำแล้วจะได้อะไร ? จึงไม่ได้สนใจคำพูดคนอื่น พูดง่าย ๆ ว่า มีปัญญาก็พูดไป เดี๋ยวเหนื่อยมึงก็เลิกเอง..!

    ดังนั้น..
    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าการที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลก และมีแต่สิ่งที่บั่นทอนกำลังใจของเรา จะมัวไปท้อถอย จะมัวไปซึมเศร้า แล้วท้ายที่สุดก็กลายเป็นทำร้ายตัวเอง ทำลายตัวเอง ก็คือละทิ้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไป เพราะยังอาศัยลมปากของคนอื่นเป็นประมาณ ถ้าอย่างนั้นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด

    เพราะว่าเมื่อถึงเวลา คนพูดลงนรก เราก็เต็มใจกระโดดลงไปกับเขา..! ทั้ง ๆ ที่เรามีโอกาสไปสวรรค์ ไปพรหม ไปพระนิพพาน ก็ต้องบอกว่าเพื่อนเขาโง่..แต่เราโง่กว่า..! เพราะว่าเราไปละโอกาสอันดีของตนเองเสีย

    ยิ่งบรรดาผู้ที่เข้ามาบวช เป็นพระภิกษุ เป็นสามเณร เป็นแม่ชี ถือว่าเป็นปูชนียบุคคลที่คนอื่นเขาเคารพบูชา คนอื่นเขาหวังพึ่งพา แต่เรากลับทำตัวเหลวไหล แค่หน้าที่ของตนก็ทำให้ดีไม่ได้ แล้วจะนำคนอื่นเขาให้ดีได้อย่างไร ?
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    เรื่องพวกนี้นอกจากที่ต้องใช้สติ ระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ต้องใช้สมาธิเพื่อระงับยับยั้งตนเองไม่ให้ตกไปในทางที่ชั่ว ยังต้องมีปัญญาเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้พินิจพิจารณากระทำในสิ่งที่สมควรต่อภาวะของตน

    อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม - พระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านกล่าวเสมอว่า "รู้จักหน้าที่ ทำตามหน้าที่ อย่าทำเกินหน้าที่ และอย่าละทิ้งหน้าที่" ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนกับง่ายแต่ไม่ใช่ของง่าย เพราะว่าแต่ละคนไม่ได้มีหน้าที่อย่างเดียว

    หลายคนอายุมากเป็นปู่เป็นย่า เป็นตาเป็นยาย เราทำหน้าที่ปู่ยาตายายได้ดีแล้วหรือยัง ? บางคนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นป้า เป็นน้าเป็นอา เราทำหน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นป้า เป็นน้าเป็นอาดีแล้วหรือยัง ? บางคนเป็นลูก บางคนเป็นหลาน เราทำหน้าที่ของความเป็นพี่น้องลูกหลานดีหรือยัง ? แล้วส่วนใหญ่ก็มีครอบครัว เราทำหน้าที่ต่อครอบครัวดีแล้วหรือยัง ?

    หลักเกณฑ์หลักการทั้งหลายเหล่านี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาไว้หมดแล้ว ว่าแต่ละคนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่อะไร ? สมควรที่จะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ? ถ้าอยากรู้ไปเปิดดูในเรื่องสิงคาลกสูตร หรือไม่ก็พิมพ์ไปค้นไนกูเกิ้ลว่า ทิศทั้ง ๖ แล้วก็จะรู้ว่าเราต้องปฏิบัติอย่างไรถึงจะถูกต้องตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
     
  11. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีประโยชน์น้อย ถ้าหากว่าเราไม่สามารถเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ แต่ว่าจะมีประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล และเสริมความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างยิ่ง ถ้าเรารู้จักเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเรา จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องศึกษาเรียนรู้ให้ดี

    เริ่มตั้งแต่สีลสิกขา
    การศึกษาเรียนรู้ในศีลว่ามีคุณงามความดีอย่างไร ? นำเราไปสู่สุคติอย่างไร ? เป็นสมบัติที่ทำให้เรามั่นคงอยู่ในความเป็นมนุษย์และเทวดาอย่างไร ? เป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานอย่างไร ?

    จิตสิกขา
    ศึกษาในเรื่องของสมาธิ ว่าทำให้เราสามารถระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ในเบื้องต้นได้อย่างไร ? ช่วยให้เราหักห้ามตนเองไม่ให้ตกลงไปในทางที่ชั่วได้อย่างไร ? เป็นเครื่องช่วยปัญญาในการตัดละกิเลสได้อย่างไร ?

    แล้วก็ปัญญาสิกขา
    ศึกษาในเรื่องของปัญญา มองให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ มองให้เห็นความเป็นจริงของโลกนี้ มองให้เห็นความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงว่า เกิดในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ ยึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ยึดมากก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย ปล่อยวางไม่ยึดก็พ้นทุกข์

    เพียงแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยมัชฌิมาปฏิปทา ความพอเหมาะพอดีพอควร ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า "เราไม่เพียร แต่เราไม่พัก" ก็คือไม่ขยันจนเกินพอดี แต่ก็ไม่ขี้เกียจจนไม่ทำอะไรเลย
     
  12. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวในการพากเพียรปฏิบัติ เหมือนกับลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีศีลเป็นกรอบ มีสมาธิเป็นห้ามล้อ มีปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ถ้าตราบใดที่เรายังไม่หลุดจากกรอบของศีลห้า ตราบนั้นถึงเราทำผิดก็ผิดน้อย มีโทษน้อย

    แต่ถ้าหลุดจากกรอบของศีลห้าเมื่อไร เรามีโอกาสพลาดลงอบายภูมิทันที เพราะว่าคุณสมบัติของศีลห้าอย่างหนึ่งก็คือ ป้องกันไม่ให้เราตกสู่อบายภูมิ


    ท่านทั้งหลายอุตสาห์เสียสละเวลา ที่จะแสวงหาความสุขให้แก่ตนเอง มาปฏิบัติธรรมในช่วงเทศกาลที่คนอื่นเขาไปสนุกรื่นเริงกัน ก็ขอให้ทำแบบจริงจัง เพราะว่าเวลามีน้อย เราจะเห็นว่าตั้งแต่ช่วงเช้ามา ถ้าไม่ใช่การปฏิบัติธรรมในช่วงเช้ามืดแล้ว ส่วนที่เหลือก็แทบจะเป็นพิธีกรรมพิธีการไปหมด ถ้าเราไม่ฉลาดในการแสวงบุญ บางคนอาจจะไม่ได้อะไรเลย..!

    แล้วมาช่วงบ่ายที่เราจะปฏิบัติธรรมกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ หลายท่านก็ยังมาช้า มาล่า มาไม่ทัน แบบนี้ต่อให้ท่านเพียรพยายามก้าวข้ามเส้น ๕๐ ไป ก็คาดว่าห่างไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น..! ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะก้าวไปถึง ๑๐๐ และถ้าหวังความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมยังต้องไปให้เกิน ๑๐๐ อีกอย่างน้อยสี่เท่า..!

    ท่านทั้งหลายจึงต้องสังวรเอาไว้ว่า "วันเวลาล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ?" "ตัวเราติเตียนตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" "ผู้รู้ติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" "คุณวิเศษของเรามีบ้างหรือไม่ ? เพื่อที่จะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม" เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายต้องถามตัวเองและต้องตอบตัวเองให้ได้..!

    ลำดับต่อไปก็ให้พวกเราสมาทานพระกรรมฐานและเข้าสู่การปฏิบัติในช่วงบ่ายกันต่อไป
     
  13. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    หลังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ก่อนสวดมนต์ถวายหลวงปู่สาย เย็นวันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘​

    ต้องบอกว่าวันเวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วมาก..ใช่ไหม ? เล่าอะไรให้ฟังหน่อยเดียวปาไปเกือบตั้งครึ่งชั่วโมง..!

    ลืมบอกไปว่าสมัยเด็ก ๆ ทางบ้านจนมาก ข้าวปลาอาหารแทบจะไม่พอกินในแต่ละวัน เพราะว่าแม่มีลูกตั้ง ๑๓ คน..! ไม่ได้เยอะนะ ข้างบ้านเขาเยอะกว่า "อาเจ็ก" ข้างบ้านเขามี ๑๘ คน..! สองคนสุดท้ายเป็นรุ่นพี่ เขาเรียก "อาจับฉิก" กับ "อาจับโป้ย" ก็คือ "ไอ้สิบเจ็ด" กับ "ไอ้สิบแปด" เพราะไม่มีชื่อแล้ว ตั้งเสียจนไม่มีชื่อเหลือ ต้องประเภทติดหมายเลขแทน..!

    ของเราทุกวันที่ ๑๓ จะมีการสวดมนต์เย็นแทนที่จะมีการทำวัตร ก็เพื่อที่จะถวายกุศลให้กับหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งท่านมรณภาพวันที่ ๑๔ กันยายน คราวนี้ทางวัดจะทำบุญถวายหลวงปู่สายทุกวันที่ ๑๔ ของเดือน ยกเว้นในช่วงพรรษาที่มีการทำบุญทั้ง "วันพระใหญ่" และ "วันพระเล็ก" อยู่แล้ว ก็เลยจัดให้วันใดวันหนึ่ง ที่ตรงกับวันพระหรือใกล้วันพระที่สุด เป็นวันทำบุญถวายหลวงปู่สายแทน ไม่จำเป็นต้องตรงกับวันที่ ๑๔ ก็ได้
     
  14. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    (ถามมัคนายก) อาราธนาธรรมแบบใหม่ได้หรือยัง ? ไม่ใช่แบบใหม่นะ..นี่คือแบบเก่า แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราผิดแล้วไม่แก้ไข พอนาน ๆ ไป ผิดจะกลายเป็นถูก แต่กลายเป็นความถูกแบบผิด ๆ ก็คือคนส่วนใหญ่ทำตาม ๆ กันไป

    รุ่นของพวกเรามีใครที่กราบพระแล้วลงมือทีละข้างบ้างไหม ? ที่ผู้ชายต้องลงมือขวาก่อน ผู้หญิงต้องลงมือซ้ายก่อน มีใครเจอมาแล้วบ้าง..ยกมือขึ้น ? นั่นเกิดจากหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดรูปหนึ่ง ที่ท่านมีชื่อเสียง เป็นพระเกจิอาจารย์ด้วย ท่านเป็นโปลิโอ แล้วท่านกราบพระไม่ถนัด ท่านเลยลงทีละข้างอย่างนั้น คนก็ถือเป็นขลัง กราบตาม ๆ กันมา

    อาตมภาพตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนเข้ามัธยมแล้ว ยังกราบท่านั้นกันอยู่เลย ก็คือไม่ได้ดูว่ามาจากไหน ? ทำไมกราบแบบนั้น ? อย่าเอ่ยถึงชื่อหลวงพ่อท่านเลย เพราะว่าชื่อเสียงท่านดีมาก แล้วท่านก็ไม่ได้เจตนาให้ทำตาม แต่ลูกศิษย์ไปตามเอง ท่านก็กราบแบบคนเป็นโปลิโอก็คือลงทีละข้าง แต่คนดันเห็นดีเห็นงามเป็นขลังไปได้..!

    นั่นก็คือการทำอะไรผิด ๆ ตามกันไปจนคนคิดว่าถูก เหมือนกับที่เขาเล่ากันขำ ๆ ว่า พ่อแม่พาพวกเด็กวัยรุ่นไปวัด ไม่มีอะไรหรอก เริ่มไปอวดบ้านอื่นว่า ตัวเองมีลูกสาวสวยมีลูกชายหล่อนั่นแหละ ให้ไปเล็ง ๆ กันดูว่าเผื่อจะชอบใจใครเข้า

    คราวนี้ส่วนใหญ่ไปวัดก็ไปวันพระกัน ถึงเวลาก็ต้องรับศีล คุณยายแกก็พนมมือรับศีล ถึงเวลาก็กราบพระ สมัยก่อนเขานุ่งโจงกระเบนกัน หางกระเบนเหน็บอยู่ เวลาก้มกราบถ้าหางกระเบนตึงเพราะโดนดึงก็จะหลุด ยายก็จะปลดชายกระเบนก่อนกราบ หลานสาวเห็นก็ "อ๋อ..ถ้าจะรับศีลต้องปลดชายกระเบนก่อน ศีลจะได้เข้าได้" หลานก็เลยดึงชายกระเบนออกบ้าง..!

    เรื่องพวกนี้อย่าเล่าเลย โดยเฉพาะ "นิทานตาเถร - ยายชี" สมัยก่อนเยอะมาก แต่ละเรื่องดี ๆ ทั้งนั้น..!
    ถ้าเล่าไปความสุขความเจริญจะมาถึง..! สมัยก่อนก็ไม่รู้หรอก สนุกตามเขาไป มารู้ว่าปรามาสพระรัตนตรัยก็ตอนปฏิบัติธรรมจริง ๆ จัง ๆ แล้ว ดังนั้น..ปล่อยคนอื่นเขาปรามาสกันต่อไป เราไม่ยุ่งด้วยแล้ว บอกแล้วว่า "บวชนานนิทานมาก" วันละนิดวันละหน่อยสะสมไปเรื่อย แค่สิบปีก็เล่ากันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว..!
     
  15. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,530
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,722
    ค่าพลัง:
    +26,583
    การที่พระของเราห่มดอง พาดสังฆาฏิ รัดอก นั่นเกิดจากหลวงพ่อเจ้าคุณกี - พระธรรมเจดีย์ (กี มารชิโน ป.ธ. ๙) วัดทองนพคุณ ท่านเป็นครูบาอาจารย์สอนบาลี ท่านรำคาญที่พอถึงเวลาห่มผ้า ม้วนลูกบวบ พอผ้าเลื่อนลงก็ต้องดึงขึ้นมาแล้วก็เหน็บไว้ เอาแขนหนีบไว้อย่างนี้ มีใครเคยชินกับการเอาแขนหนีบผ้าไว้บ้าง ?

    คราวนี้ท่านต้องใช้มือเขียนแล้วท่านดันถนัดซ้ายด้วย พอถึงเวลาเขียน ผ้าก็หลุด ที่อุตส่าห์เอาแขนหนีบไว้ก็หล่นเลื่อนลงไปอีก ท่านก็รำคาญ ท่านก็เลยเอาผ้ารัดอกเสีย ปรากฏว่าดูทะมัดทะแมง ทำอะไรคล่องตัวดี ก็เลยมีคนเลียนแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็เลยกลายเป็นชุดอย่างที่เห็นนี่

    เพราะฉะนั้น..ถ้าญาติโยมไปเจอพระวัดไหนที่ม้วนลูกบวบแล้วพาดสังฆาฏิเฉย ๆ นั่นคือกันห่มแบบเก่าที่ถูกต้องเลยนะ อย่างอาตมาห่มแบบนี้ไปพม่า เขาเรียกว่า "ภิกษุณี" เจอหน้าพระพม่าอาตมภาพโดนแซวทุกครั้งว่า "ภิกษุณีมาแล้ว" เพราะว่าในพระวินัยมีแต่ภิกษุณีเท่านั้นที่ใช้ผ้ารัดอก

    ก็คือสมัยก่อนเขาไม่ได้มียกทรงไม่ได้มีบิกินี่อะไรทั้งนั้น คราวนี้พอใช้ผ้าผืนเดียวห่มไป บางคนแม่ให้มาเยอะ ไปสะดุดตาคนอื่น เขาเกรงว่าจะมีปัญหากันในวัด ก็คือถ้าผู้หญิงอิจฉากันเองก็ไม่เป็นอะไรหรอก กลัวแต่ว่าพระเณรจะพลอยเพ่งเล็งไปด้วย พระพุทธเจ้าก็เลยกำหนดให้ว่า ถ้าภิกษุณีออกนอกเคหะสถานเมื่อไรต้องใช้ผ้ารัดอก ก็คือต้องใช้ผ้าแถบพันเอาไว้ อย่าให้แผ่นดินไหวง่ายนัก..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น..เวลาพระพม่าเขาแซวเอาว่า "ภิกษุณี" อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้ม ไม่รู้จะทำอย่างไร ? เพราะเราชินแบบนี้แล้ว พอเถิด..เรื่องแบบนี้ล่อแหลมเกินไป เล่าแล้วไม่โป๊นี่ยากมากเลยนะ..!
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...